Luoyang (ลั่วหยาง) เป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าแก่อันยิ่งใหญ่ของจีนมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน (Henan)ของจีน แต่สิ่งที่แสดงถึงอารยธรรมสูงสุดของ Luoyang โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงยุคที่พุทธศาสนาเริ่มเจริญเฟื่องฟูมากในจีน โดยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมการแกะสลักพระพุทธรูปบนหน้าผาหินปูนตามโพรงถ้ำต่างๆมาจากทางอินเดีย คือ Longmen Grottoes หรือที่คนไทยเรียกว่าถ้ำผาหลงเหมิน โดยแปลความหมายตามตัวอักษรได้ว่า “ถ้ำผาประตูมังกร” เพิงผาถ้ำบนภูเขา Longmen (หลงเหมิน) ทางทิศตะวันตกและภูเขา Xiangshan (เซียงซาน) ทางทิศตะวันออก ขนาบสองข้างทางของลำน้ำ Yi (อี้) ที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักแห่งนี้ เปรียบได้เป็นประตูแห่งความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่เปิดเข้าสู่เมือง Luoyang ทางทิศใต้
ด้วยความเจริญก้าวหน้าของจีนในยุคปัจจุบัน ทำให้ฉันสามารถเดินทางไปเที่ยวถ้ำผามรดกโลกอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จากเมือง Xian (ซีอาน) ที่ห่างออกไปประมาณ 400 กิโลเมตรแบบวันเดียวกลับได้อย่างสบายๆ โดยใช้บริการรถไฟความเร็วสูงของการรถไฟจีน ซึ่งใช้เวลาเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีเท่านั้นก็ถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงแห่งเมือง Luoyang จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ต่อไปยัง Tourist Center ของถ้ำผาหลงเหมินได้ภายในเวลา 15 นาที ปัจจุบัน รถทุกคัน นักท่องเที่ยวทุกคนจะมาเริ่มต้นที่ศูนย์ฯแห่งนี้ ซึ่งห่างจากตัวปากทางเข้าถ้ำผาจริงๆประมาณ 2 กิโลเมตร ใครเอารถมาก็มาจอดที่นี่ หลังจากซื้อตั๋ว ซึ่งเป็นตั๋วชุดเข้าชมสถานที่ 4 แห่งบริเวณถ้ำผาอันได้แก่หมู่ถ้ำทางทิศตะวันตก หมู่ถ้ำทางทิศตะวันออก วัดเซียงซาน (Xiangshan Temple) และหลุมศพกวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง Bai Juyi (ไป่จวีอี้) แล้วก็สามารถเลือกที่จะเดินไปเองตามเส้นทางที่มีร้านขายของและร้านอาหารสองข้างทาง หรือใช้บริการรถไฟฟ้า (เสียค่าบริการเพิ่มนิดหน่อย) เพื่อไปลงตรงปากทางเข้าเลยก็ได้ โดยทางเข้าชมจะเริ่มจากหมู่ถ้ำทางทิศตะวันตกอันได้แก่ภูเขา Longmen ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเส้นทางจะเป็นวันเวย์วนไปจนสุดหมู่ถ้ำทางด้านนี้ แล้วเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอีกสามแห่งทางฝั่งตะวันออก กลับออกไปเป็นวงกลม เรียกว่าต้องออกแรงเดินกันพอสมควรทีเดียว เพราะนอกจากระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรของแต่ละฝั่งแม่น้ำแล้ว ยังต้องมีการเดินขึ้นลงบันไดไปตามหน้าผาเพื่อชมเพิงผาถ้ำแกะสลักเหล่านี้กันตลอดเส้นทาง
เพิงผาและถ้ำนับพันบนหน้าผาริมฝั่งแม่น้ำอี้แห่งนี้ ถูกขุดเจาะและแกะสลักตลอดเส้นทางจนมองดูคล้ายรังผึ้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เพียงแค่ฉันได้เห็นถ้ำผาโดยรวมโดยยังไม่ได้ทันพิจารณารายละเอียดของแต่ละถ้ำก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเหลือเกินแล้ว ด้วยหมู่ถ้ำที่นับกันไม่ถ้วนทั่วเหล่านี้มีมากกว่า 2,300 ถ้ำ มีปฏิมากรรมพระพุทธรูปแกะสลักมากกว่า 110,000 องค์ ไม่นับรวมรูปแกะสลักอื่นๆเช่น คน นางฟ้า นางรำ และสัตว์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกอีก 2,800 หลักและเจดีย์กว่า 60 เจดีย์ โดย 70% ของโพรงถ้ำแกะสลักเหล่านี้อยู่ทางเขาหลงเหมิน และอีก 30% อยู่ทางด้านเขาเซียนซานอีกทางฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ทั้งนี้ทั้งนั้น การแกะสลักอันมโหฬารแบบนี้ใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 4-500 ปี ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 5 ในยุคสมัยของราชวงศ์เว่ยเหนือ (ครอบครองจีนทางตอนเหนือ) เมื่อจักรพรรดิ Xiaowen (เสี้ยวเหวิน) ย้ายราชธานีมาที่ลั่วหยางพร้อมๆกันกับความเชื่อในเรื่องของพุทธศาสนา ยาวมาจนถึงสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ 618-907) ที่พุทธศาสนาและวัฒนธรรมต่างๆเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดจนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของจีนเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาถ้ำผาอันแสนอัศจรรย์สร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์เหล่านี้ก็ถูกทิ้งให้ทรุดโทรม เมื่อมีการย้ายราชธานีในเวลาต่อๆมา วัตถุโบราณและรูปสลักโดยเฉพาะเศียรและพระพักตร์ถูกตัดและปล้นชิงเอาไปโดยเฉพาะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารญี่ปุ่นยกทัพเข้ามาในบริเวณแถบนี้ จนรัฐบาลจีนในสมัยหลังๆได้เล็งเห็นความสำคัญของแหล่งอารยธรรมอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้เริ่มเข้าไปบูรณะและทำการอนุรักษ์จนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ในการที่จะกล่าวถึงถ้ำทุกถ้ำและรูปสลักทุกรูปแสนๆองค์นี้คงเป็นไปไม่ได้ ฉันขอกล่าวถึงถ้ำหลักๆที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยและแสดงให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมในยุคอดีตและยังคงความสมบูรณ์อันน่าทึ่งเอาไว้จนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น The Three Binyang Caves (กลุ่มถ้ำปินหยาง) เป็นกลุ่มถ้ำที่มีพระพุทธรูปสลักขนาดใหญ่สามถ้ำเรียงต่อกันคือถ้ำเหนือ ถ้ำกลางและถ้ำใต้ที่นักท่องเที่ยวจะเดินไปถึงก่อนหลังจากที่ผ่านทางเข้าเข้ามา ถ้ำกลุ่มนี้มีการก่อสร้าง (แกะสลัก) ตั้งแต่สมัยเว่ยเหนือและมีการเสริมต่อเติมจนถึงสมัยราชวงศ์ถัง ที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นถ้ำกลางที่ว่ากันว่าจักรพรรดิ์ Xuanwun (เสวี๋ยนอู่) สร้างอุทิศให้บิดาคือจักรพรรดิ Xiaowen และมารดา ซึ่งใช้เวลานานกว่า 20 ปีในการสร้างสรรค์ผลงาน น่าเสียดายที่ภาพสลักบนกำแพงบางส่วนโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับรายละเอียดของจักรพรรดิและราชวงศ์ได้ถูกขโมยและไปปรากฎอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆในต่างประเทศเสียแล้ว
หลังจากไต่บันไดเดินชมถ้ำเล็กถ้ำน้อยไปเรื่อยๆจะมาถึงไฮไลท์คือ Fengxiansi Cave (ถ้ำเฟิ่งเซียนซื่อ) ซึ่งเป็นเวิ้งผาถ้ำขนาดใหญ่กว้าง 35 เมตร ยาว 39 เมตร ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดและมีนักท่องเที่ยวออกันมากที่สุดของที่นี่ แม้จะต้องออกแรงเดินขึ้นบันไดเกือบจะหนึ่งร้อยขั้นกว่าจะมาถึงก็ตาม เนื่องจากที่นี่มีปฏิมากรรมแกะสลักพระไวโรจนะพุทธะอันงดงามสมบูรณ์ที่ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำผาหลงเหมินแห่งนี้ โดยมีขนาดสูงใหญ่ 17.14 เมตร เฉพาะพระเศียรก็สูงถึง 4 เมตร และมีรูปพระพักตร์เมตตางดงามเป็นอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ขนาบด้วยรูปสลักขนาดใหญ่ของพระอานนท์ทางขวาและพระมหากัสสปะทางซ้าย และพระโพธิสัตว์ขนาบอีกทั้งสองด้าน ด้านข้างของเพิงผาเป็นรูปสลักขนาดใหญ่ของท้าวโลกบาลและทวารบาลอีก 4 องค์ รูปสลักเหล่านี้สร้างขึ้นในสมัยถังโดยมีเหล่าราชวงศ์เป็นผู้อุปถัมภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิ Gaozong (เกาจง) และพระมเหสี Wu Zetian (บูเชกเทียน) ซึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวที่เป็นสตรีของประวัติศาสตร์จีน รูปสลักของถ้ำแห่งนี้ถือเป็นศิลปะการแกะสลักถ้ำแบบหลวง (แบบราชวงศ์) ที่ถือเป็นต้นแบบของศิลปะจีนแห่งราชวงศ์ถังที่ส่งอิทธิพลและแพร่หลายไปทั่วทุกภูมิภาคของจีนและทั่วโลกในเวลาต่อมา
เมื่อได้ชมพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว คงหนีไม่พ้นที่ฉันจะขอไปชมพระพุทธรูปที่เล็กที่สุดที่แกะสลักขึ้นบ้าง เป้าหมายคือ Wanfo Cave (ถ้ำว่านฝอ) สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเกาจงและพระนางบูเชกเทียนอีกเช่นเคย ที่ถ้ำนี้เต็มไปด้วยพระพุทธรูปขนาดจิ๋วกว่า 15,000 องค์เรียงรายอยู่ตามโพรงถ้ำ พระพุทธรูปที่ขนาดเล็กที่สุดวัดได้เพียง 2 ซม. เท่านั้น และหากเดินย้อนลงมาทางด้านล่างจะเป็นที่ตั้งของ Guyang Cave (ถ้ำกู่หยาง) ซึ่งถือเป็นถ้ำที่มีรูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดของที่นี่ตั้งแต่ราชวงศ์เว่ยเหนือ ซึ่งย้อนเวลากลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 478 ตัวถ้ำสูง 11.20 เมตร กว้าง 7.27 เมตรและลึก 11.83 เมตร มีรูปสลักพระพุทธเจ้าประดิษฐานบนฐานสูงมีตัวสิงห์อยู่ด้านล่าง โดยมีพระโพธิสัตว์ขนาบสองข้าง และพระพุทธรูปขนาดเล็กอยู่ตามซอกมุมต่างๆกว่า 1,000 องค์ ที่สำคัญยิ่งคือมีจารึกกว่า 800 จารึกตามผนังในรูปแบบอักษรจีนแบบเว่ยเหนือ ซึ่งถือเป็นถ้ำที่มีจารึกมากที่สุดในประเทศจีน ส่วนอีกถ้ำที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือถ้ำยา Yaofang Cave (ถ้ำเย่าฟาง) เนื่องจากมีตำรับยาถึง 140 ตำรับแกะสลักอยู่ที่สองข้างผนังทางเข้าถ้ำ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ยารักษาภายใน ไปจนถึงโรคประสาท ศัลยศาสตร์ นารีเวชศาสตร์ และกุมารเวชศาสตร์ ที่สะสมกันมาตั้งแต่ราชวงศ์เว่ยเหนือจนถึงราชวงศ์ถัง
เมื่อเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำอี้มาทางฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นภูเขา Xiangshan โพรงถ้ำผาจะซ่อนตัวอยู่อย่างค่อนข้างมิดชิดในหมู่แมกไม้นานาพรรณยาวประมาณ 500 เมตร ไม่ได้เป็นหน้าผาโล้นๆให้เห็นได้ชัดแบบทางฝั่งตะวันตก ทางฝั่งนี้มีรูปสลักที่น่าประทับใจคือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ปางสหัสภุชสหัสเนตร (พันมือ พันตา) และ Kanjingsi Cave (ถ้ำคั่นจิงซื่อ) ซึ่งมีรูปสลักพระอรหันต์ขนาดเท่าคนจริง 29 รูปในอากัปกิริยาต่างๆที่ดูเหมือนบุคคลจริงๆ บนกำแพงล้อมรอบพระพุทธรูปที่นั่งประดิษฐานอยู่ตรงกลาง พร้อมทวยเทพธิดาและดอกบัวบนเพดาน ในโถงถ้ำขนาดประมาณ 11 ตารางเมตร
เมื่อพ้นจากแนวถ้ำผาสลักแล้ว จะเป็นทางขึ้นไปยังวัด Xiangshan เดิมเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ค.ศ. 516) และได้รับการขยับขยายในเวลาต่อมา ถือเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในเขตหลงเหมิน ตัววัดที่เห็นในปัจจุบันบูรณะขึ้นใหม่ตามแบบวัดเดิมเมื่อประมาณ 300 ปีก่อน และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในภายหลัง จากที่วัดสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำและถ้ำผาได้อย่างชัดเจน นอกจากตัวโบสถ์ อาคาร เจดีย์ หอระฆังที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่แล้ว ยังมีบ้านพักตากอากาศของเจียงไคเช็คและซ่งเหม่ยหลิง ที่มาพักอยู่ที่นี่ในช่วงปี 1936 อีกด้วย
ด้วยความยิ่งใหญ่และศิลปะการสร้างสรรค์ของชาวจีนในพื้นที่แถบนี้เมื่อพันกว่าปีก่อน รวมถึงวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม รวมถึงความรู้และสรรพวิทยาต่างๆที่ถูกจารึกและรังสรรค์ไว้ที่ถ้ำผาแห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ฉันขอบอกล่วงหน้าเลยว่าอย่าเชื่อตามไกด์บุ๊คหรือเว็บไซด์ต่างๆที่บอกไว้ว่า ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ เพราะจากประสบการณ์ของตัวเองแล้ว อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง หากต้องการจะชมให้ถ้วนทั่ว ที่สำคัญควรเตรียมเสบียงอาหารไปให้พร้อมเพื่อสามารถเดินชื่นชมความอลังการของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไม่เสียอารมณ์