Krasnoyarsk เมือง ณ กึ่งกลางเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย

หลังจากที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองต่างๆที่สามารถแวะท่องเที่ยวได้ หากเดินทางตามเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาจากทางทิศตะวันออก ครั้งนี้ฉันขอแนะนำเมืองในเส้นทางอีกเมืองหนึ่งในไซบีเรียตะวันออกก่อนที่จะเข้าสู่ไซบีเรียตะวันตกที่น่าสนใจไม่น้อย หากจะเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งรถไฟ เข้าไปชมเมืองและธรรมชาติรอบๆดูบ้าง เมือง Krasnoyarsk (คราสโนยาร์สค์) เป็นเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นจากการตั้งค่ายป้อมปราการของกลุ่มคอสแซค (Cossacks) ร่วมกับชาวพื้นเมืองเดิม เพื่อป้องกันข้าศึกจากมองโกลในปี คศ 1628 ป้อมปราการนี้มีชื่อว่า Krasny Yar (คราสนียาร์) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองในเวลาต่อมา ตัวป้อมสร้างอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายคือ Yenisey (เยนิเซ) และ Reka Kacha (เรกะคาช่า) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขนสัตว์ในไซบีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนตัว Sable (ฉันขอเรียกว่า หมาไม้ไซบีเรีย) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ตัวเมืองขยายใหญ่ขึ้นในยุคตื่นทองช่วงปี 1840-1850 และยิ่งบูมมากขึ้นเมื่อทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาถึงเมื่อปีทศวรรษ 1890s ที่นี่เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตอาวุธที่สำคัญของกองทัพแดง Red Army โดยเฉพาะปืนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ว่ากันว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในเมืองนี้สังเวยชีวิตให้กับสงครามโลกครั้งนั้น) ในปัจจุบันแม้จะไม่มีป้อมปราการเดิมหลงเหลืออยู่แล้ว แต่พื้นที่บริเวณนี้ได้พัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นตัวเมืองในปัจจุบันที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเมืองในไซบีเรีย มีประชากรประมาณ 1 ล้านคนจากทั่วภูมิภาค (ภูมิภาค Krasnoyarsk Krai ที่มีขนาดประมาณ 3 เท่าของประเทศฝรั่งเศส) ที่มีอยู่ 2.8 ล้านคน Krasnoyarsk ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียพอดี (ถ้านั่งรถไฟมาจาก Irkutsk (เอียร์คุสต์) เมืองศูนย์กลางเวลาไปเที่ยวทะเลสาบไบคาล ใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมง ระยะทางประมาณพันกว่ากิโลเมตร)

หากนั่งรถไฟมาถึงที่นี่ในตอนเช้าและมีเวลาพอที่จะไปถึงเนิน Karaulnaya (คาราอุลนาย่า) ได้ทันเวลาเที่ยงตรง ก็จะมีโอกาสได้เห็นการยิงสลุตจากปืนใหญ่อย่างใกล้ชิด (เขายิงสลุตแบบนี้กันทุกวันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003) เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตรงใกล้ๆยอดเนิน ณ เนินแห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งของหอสังเกตการณ์ (watchtower) ของทหาร Cossacks ตั้งแต่สมัยมาตั้งป้อมปราการที่นี่เมื่อเกือบสี่ร้อยปีก่อน ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นที่ตั้งของโบสถ์ออร์โธด็อกส์เล็กๆที่มีชื่อว่า Peraskeva Pyatnitsa Chapel (เปราสเคย่า ปยาตนิตซา แชปเปล) และจุดชมวิวตัวเมืองที่มองเห็นได้กว้างไกล แต่มากันถึงแหล่งผลิตอาวุธสงครามทั้งที หากอยากเห็นรถถังและปืนใหญ่มากกว่าที่เห็นบนเนิน แนะนำให้ไปที่บริเวณลานจัตุรัส Victory Memorial Historical Museum ที่มีอาวุธหนักๆจัดแสดงอยู่กลางแจ้งควบคู่ไปกับรูปปั้นคนงานมอบดาบให้กับทหารหาญและเปลวไฟนิรันดร์ (Eternal Flame) ริมหลุมศพของผู้เสียชีวิตในระหว่างสงคราม ที่จัตุรัสแห่งนี้จะมีนักศึกษาจากชมรมที่เกี่ยวกับการทหาร อาสาสมัครกันมาผลัดกันยืนเฝ้าเวรยาม และมีการเดินตบเท้าเปลี่ยนเวรยามกันอย่างน่าสนใจ

สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองที่นี่คือสวนสาธารณะบริเวณเกาะกลางแม่น้ำ ที่มีสะพานคนเดินข้ามไปยังเกาะ Tatishev Island (เกาะทาติเชฟ) ซึ่งตั้งอยู่กลางแม่น้ำ Yenisey ซึ่งสะพานนี้จะเชื่อมต่อไปยังลานเสรีภาพ อันเป็นลานวัฒนธรรมของเมือง มีรูปปั้นของ Nikolai Petrovich Rezanov (นิโคไล เปโตรวิช เรซานอฟ) ขุนนางและรัฐบุรุษของรัสเซียช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่มาจบชีวิตลงที่เมืองนี้ และโรงละครแสดงดนตรี Regional Philharmonic ซึ่งมีจัดการแสดงตลอดปีในราคาไม่แพง ถ้ามีเวลา ฉันขอแนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าไปชมบรรยากาศและดูการแสดงที่มักจัดตอนหัวค่ำ แม้จะฟังภาษาพูดไม่รู้เรื่องแต่เสียงดนตรีเป็นสากลพอที่จะดึงอารมณ์ให้คล้อยตามได้โดยไม่ยาก

แต่หากอยากรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวไซบีเรีย ควรลองแวะชมพิพิธภัณฑ์ Krasnoyarsk Regional Local Lore Museum ซึ่งตั้งอยู่ในตัวตึกทรงอียิปต์ใกล้ๆกับแม่น้ำ ที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในไซบีเรียและรัสเซีย ด้านในมีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้โบราณของยุคหินและโลหะ รวมไปถึงการแต่งกายของชาวพื้นเมืองต่างๆ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับของชาวพื้นเมืองไซบีเรีย รวมไปถึงสัตว์ป่าชนิดต่างๆในภูมิภาคที่ถูกสตั๊ฟเอาไว้ รวมไปถึงโครงกระดูกช้างแมมมอธ แรดขนยาว (Woolly Rhinoceros) และสัตว์อีกหลายชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ไปจนถึงประวัติศาสตร์ต่างๆของภูมิภาค ดูกันทั้งวันไม่จบ แม้การจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นภาษารัสเซีย แต่ก็มีภาษาอังกฤษปะปนอยู่บ้างพอให้ได้รู้ที่มาที่ไป

สถานที่ไม่ควรพลาดและควรเผื่อเวลาทั้งวันเมื่อเดินทางมาถึงเมืองนี้แล้ว คือ Stolby Nature Reserve (เขตอนุรักษ์สโตลบี้) เป็นอุทยานแห่งชาติใกล้ๆกับเมือง Krasnoyarsk ที่ใครๆที่มาที่เมืองนี้ก็ต้องแวะมาเที่ยว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าสนไทก้า (Taiga) ประกอบด้วยต้นสนชนิดต่างๆ ซึ่งมี pines, firs, และ larches เป็นหลัก แต่มีส่วนหนึ่งที่มีภูมิประเทศแปลกตา เป็นแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “Stolby” ซึ่งแปลว่า “Pillars” เสาหรือแท่งหินขนาดยักษ์สูงเกือบๆ 100 เมตรเหล่านี้ เป็นเหมือนสัญญลักษณ์ของอุทยานฯ และเป็นแหล่งปีนเขาปีนหน้าผาที่ดีเยี่ยมของคนแถบนี้ อย่างไรก็ตาม มีนักปีนเขาหลายคนได้จบชีวิตลงที่นี่ เพราะส่วนใหญ่จะปีนกันแบบมือเปล่า (Solo Climbing) ไม่มีอุปกรณ์เซฟตี้ใดๆ จนมีคำศัพท์เฉพาะสำหรับการปีนเขาแบบนี้ว่า Stolbizm (สตอลบิสซึม)…

จุดที่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าไปเดินป่า ปีนเขาชมธรรมชาติได้นั้นมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งต้องเดินเท้าเข้าไปจากปากทางไปจนถึงศูนย์นิทรรศการของอุทยานฯ ทางเข้าเทรลดูแท่งหิน ระยะทางประมาณ 7 กม. ถ้าขออนุญาตล่วงหน้าเป็นพิเศษสามารถเอารถเข้าไปถึงตรงจุดนี้ได้ ก็จะย่นระยะทางลงไปหน่อย จากนั้นก็จะเป็นการเดินวนชมแท่งหินต่างๆ โดยหลักๆมีอยู่ 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มก็จะมีชื่อเรียกตามลักษณะของแท่งหินแตกต่างๆกัน เช่น Grandfather Rocks ที่มองจากมุมหนึ่งแล้วจะเห็นเหมือนหน้าคนขนาดยักษ์ Feather Rocks ที่มีหินขนาดใหญ่ตั้งในแนวตั้งเหมือนเป็นแผ่นหินบางๆซ้อนกัน ที่นีเป็นที่ปีนเขามือเปล่าปราบเซียนยอดนิยม ที่เคยมีนักปีนเขาชื่อดังของรัสเซียตกลงมาตายต่อหน้าต่อตาผู้ที่มาเฝ้าชมการปีนเขานับร้อยคน รวมถึงลูกและเมียของเขาด้วย และ Sinner Rocks เป็นหินขนาดใหญ่ที่ค้างอยู่ระหว่างภูเขาหินสองฝั่งในลักษณะที่หมิ่นเหม่ ไม่รู้จะตกลงมาเมื่อไร เขาว่าถ้าไปยื่นใต้ก้อนหินนั้นแล้วตบมือดังๆสามที ถ้าหินไม่ตกลงมาก็แสดงว่าคนนั้นไม่มีบาปอะไรติดตัว เป็นต้น นอกจากเดินวนชมหินตามเทรลด้านล่างแล้ว ก็สามารถไต่ขึ้นไปตามแนวแท่งหินเพื่อขึ้นไปบนยอดได้บางส่วน (ค่อนข้างวิบากพอควร) บางส่วนก็ต้องเป็นนักไต่ผาถึงจะขึ้นไปพิชิตได้ ส่วนทางเข้าอีกทางหนึ่งซึ่งอยู่คนละด้านของอุทยานฯ จะมองเห็นหินตั้งขึ้นเป็นกำแพงสูงอยู่บนเขา มองเห็นได้จากในเมือง ส่วนนี้ถ้าไม่เดินเทรกกิ้งไป ก็สามารถนั่งกระเช้าเล่นสกีขึ้นไปเพื่อย่นระยะทางในการเดินชมได้ แท่งหินแปลกตาที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นหินอัคนี ที่เรียกว่า Syenites อายุเกินกว่า 350 ล้านปี

จริงๆแล้วนอกจากแท่งหินและป่าสนไทก้า ในอุทยานฯ ยังมีสัตว์ป่าหลากหลายชนิดทั้งหมี หมาป่า กวาง หมาไม้ไซบีเรีย (Sable) กระต่ายป่า กระรอก และนกชนิดต่างๆ รวมถึงมอส ไลเคน เห็ด ดอกไม้ป่ามากมาย… แต่สัตว์ป่าส่วนใหญ่อยู่ลึกเข้าไปในอุทยานฯที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าถึง ยกเว้นจะโชคดีเจอพวกมันเข้ามาบริเวณใกล้ๆเส้นทางเดินเอง ภายในอุทยานฯ มีบ้านพักและลานกางเต๊นท์ ใกล้ๆกับเทรลเดินชมแท่งหิน ในกรณีที่จองบ้านพักสามารถเอารถเข้าไปได้ถึงจุดพัก (บังกะโลแยกหลัง ห้องน้ำรวม ส้วมแบบหลุม) ภายในอุทยานฯ มีเทรลต่างๆมากมายพอสมควร ตัดไปตัดมา ถ้าไม่ชินกับพื้นที่ ควรหาไกด์นำเดินน่าจะดีกว่ากางแผนที่เดินเอง เพราะจะได้รู้จุดต่างๆว่าจะปีนจุดไหนหรือจะเดินชมมุมไหนได้ เพราะแม้แต่คนรัสเซียเองที่อ่านป้ายออก ก็ยังหลงทางกันนักต่อนัก…ยิ่งถ้ามาหน้าหนาวแบบหิมะเต็มๆนี่ กลางคืนติดลบกันถึง 30-40 องศาเลยทีเดียว คือถ้าหลงก็หนาวตายอยู่ในป่าได้ง่ายๆนั่นเอง การเที่ยวป่าหรือทุ่งหญ้าในไซบีเรียนั้น สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งคือเห็บ ที่จะระบาดมากในช่วงปลายเมษาถึงมิถุนา จึงไม่ควรเดินดุ่มๆ ออกไปนอกเส้นทางเอง เนื่องจากเห็บที่นี่เป็นพาหะของโรคต่างๆ เช่นโรคไลม์ คนโดนกัดต้องไปตรวจเลือด ฉีด/กินยาป้องกันภายในสองวัน

            นอกจากการไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติแล้ว ยังมีจุดชมวิวเทือกเขาและแม่น้ำอีกแห่งหนึ่งนอกเมือง ตั้งอยู่บนหน้าผา Sliznevsky Byk (สลีซเนฟสกี้ไบค์) ริมแม่น้ำ Yenisey ตรงบริเวณที่สร้างเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงการครบรอบ 80 ปีของนักเขียนชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียง Viktor Astafyev (วิคเตอร์ อัสทาฟเยฟ) (ค.ศ. 1924-2001) จากลานชมวิวที่มีรูปปั้นปลาสเตอร์เจี้ยนที่มีชื่อว่า “The Tsar Fish” อันเป็นชื่อของเรื่องสั้นของนักเขียนคนนี้ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและเป็นที่รู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง จะสามารถมองเห็นแม่น้ำ Yenisey และหมู่บ้าน Ovsyanka (โอฟสยันก้า) อันเป็นหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดและสถานที่ตายของนักเขียนท่านนี้และเป็นแหล่งที่มาของฉากในหนังสือที่เขียนบรรยายสภาพความเป็นอยู่ ชีวิตจริงในชนบทและชะตากรรมของคนธรรมดาทั่วๆไปของรัสเซียซึ่งเป็นจุดเด่นในงานเขียนของเขา…บริเวณใกล้ๆกันยังมีร้านอาหารที่ยังขายอาหารป่าพื้นเมืองที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อกวางชนิดต่างๆ ตับกวางบด เห็ดพื้นเมืองดอง สลัดผักท้องถิ่น ปลาจากแม่น้ำ ฯลฯ ที่อาจจะหาชิมในเมืองได้ยาก

เมือง Krasnoyarsk ในปัจจุบันโดยทั่วไปถนนหนทางและจุดท่องเที่ยวต่างๆได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่เพื่อต้อนรับการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก ที่เมืองนี้เป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมานี้เอง (2019) ในเมืองดูเหมือนจะมีแต่ตึกใหญ่ๆโตๆทมึนๆที่สร้างมาตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ แต่ข้างในตึกหลายแห่งได้ถูกปรับปรุงตกแต่งเป็นร้านค้า ร้านกาแฟ คาเฟ่ ผับ บาร์ อย่างเก๋ไก๋ น่านั่ง โดยที่บางทีดูจากข้างนอกจะไม่รู้เอาเสียเลย อาศัยต้องใจกล้าเปิดประตูห้างร้านนั้นเขาไปด้านในเท่านั้น แม้ธรรมชาติของคนรัสเซียรวมถึงคนที่นี่จะไม่ยิ้มแย้มตลอดเวลาแบบคนไทย แต่รับรองว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากร้านเหล่านี้อย่างแน่นอน ลองมาพิสูจน์กันเองว่าเมือง Krasnoyarsk เป็นจริงดั่งที่ตัวเมืองโฆษณาตัวเองว่าได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองหนึ่งที่ “สะดวกสบาย” ที่สุดของรัสเซีย และได้รับการยกย่องจากนักเขียนบทละครชาวรัสเซีย Anton Chekhov (อันตอน เชฟคอฟ) ว่าเป็น “เมืองที่สวยที่สุดในไซบีเรีย” หรือไม่

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s