Inland California: ดินแดนแห่งธรรมชาติอันหลากหลาย

มลรัฐแคลิฟอร์เนียมีพื้นที่กว้างไกลใหญ่โต เรียกว่าใหญ่เป็นอันดับสามในจำนวนรัฐต่างๆของสหรัฐอเมริกากันเลยทีเดียว หรือจะเทียบง่ายๆก็ประมาณ 80% ของพื้นที่ประเทศไทยนั่นล่ะ แน่นอนว่าความหลากหลายทางธรรมชาติย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่ที่ฉันเห็นว่าน่าสนใจก็คือ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ฉันได้ท่องเที่ยวอยู่ในตอนกลางของพื้นที่ในแผ่นดินด้านตะวันออกของรัฐ (ที่ไม่ติดมหาสมุทรแปซิฟิค) แห่งนี้ ฉันกับเจอสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน นี่แหละที่ทำให้ฉันเห็นว่าดินแดนแห่งนี้ช่างมีธรรมชาติที่หลากหลายเสียเหลือเกิน

การเดินทางของฉันเริ่มจากอุทยานแห่งชาติอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปอย่างโยเซมิติ (Yosemite National Park) ซึ่งตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของรัฐทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาเซียร่าเนวาด้า  ช่วงที่ฉันไปเยี่ยมเยือนเป็นช่วงต้นเดือนเมษายน ถนนหนทางต่างๆบางแห่งในขุนเขาแห่งนี้ ยังคงมีหิมะปกคลุมไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ บริเวณที่สามารถเยี่ยมชมได้อย่างสวยงามในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นบริเวณที่เรียกว่าเป็นหุบเขาโยเซมิติ ฉันเข้าชื่นชมความงามโดยขับรถตามถนนเลียบไปตามลำน้ำเมอร์เซด (Mersed River) ที่ลัดเลาะเข้าไปในหุบเขาขนาบข้างด้วยภูเขาแท่งหินแกรนิตขนาดมหึมา น้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว Bridalveil Waterfall เป็นจุดแรกที่ฉันแวะเที่ยวชม เมื่อเดินเข้าไปทางเดินสั้นๆ ฉันก็ถูกปะทะด้วยละอองน้ำเย็นยะเยือกที่ปลิวมาตามแรงลมของน้ำตกที่ตกตรงดิ่งลงมาจากหน้าผาสูง ดูเผิ่นๆเหมือนน้ำตกจะเล็ก แต่เพราะภูมิประเทศอันเป็นกำแพงหินแกรนิตรอบข้างต่างหากที่ใหญ่โตเสียจนทำให้น้ำตกดูเล็กไปถนัดใจ ทั้งๆที่มีความสูงถึง 190 เมตร

ไม่ไกลกันนักเป็นที่ตั้งตระหง่านของแท่งหินแกรนิตที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก El Capital ที่ยอดมีความสูงอยู่ที่ 2,307 เมตร แท่งหินมโหฬารที่มีวิวัฒนาการการแข็งตัวอยู่ใต้ดินเมื่อหลายล้านปีก่อนที่จะดันทะลุพื้นขึ้นมาตั้งเด่นเป็นสง่าแห่งนี้เป็นที่ท้าทายของนักไต่หน้าผาที่ต้องการมาพิชิตที่นี่ให้ได้สักครั้งในชีวิต ลึกเข้าไปในหุบเขาฉันมีโอกาสได้ยลโฉมน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสูงเป็นอันดับห้าของโลก อันได้แก่น้ำตกโยเซมิติซึ่งแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนและชั้นล่างรวมความสูง 739 เมตร ที่มีน้ำไหลแรงผ่านหน้าผาหินแกรนิตลงมาอย่างไม่ปรานีใคร และการจะมองเห็นน้ำตกแห่งนี้เต็มๆได้ คงต้องมองจากที่ไกลๆเท่านั้น

หลังจากที่แวะสอบถามข้อมูลจากศูนย์บริการข้อมูลของอุทยานแห่งชาติ และทราบว่าหลายเส้นทางยังคงปิดอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว ฉันเลือกที่จะเดินไปตามทางเดินศึกษาธรรมชาติง่ายๆ ที่มีระยะทางไม่ไกลมากเพื่อไปชมความงามของทะเลสาปกระจก (Mirror Lake) ทางเดินค่อนข้างเรียบๆเลาะไปตามลำน้ำ ข้ามสะพานและวกกลับมาตามลำน้ำอีกฝั่งเป็นวงกลม เส้นทางตัดผ่านป่าสนและมีฉากหลังเป็นเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แท่งหินลือชื่อ Half Dome ที่เป็นแท่งหินขนาดมหึมาที่มีลักษณะเหมือนถูกตัดผ่าครึ่งในแนวตั้งให้เหลือเพียงครึ่งเดียว นอกจากนี้ยังมี North Dome ตั้งอยู่อีกทางด้านหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งทั้งสองที่นี้มีเส้นทางเทรคกิ้งเพื่อไปถึงโคนหินและปีนหน้าผาหินขึ้นไปชื่นชมวิวได้ในช่วงหน้าร้อนสำหรับผู้ที่มีความพร้อม (เส้นทางค่อนข้างไกลและชันเป็นบางช่วงโดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่ต้องปีนแท่งหินขึ้นไป) …ย้อนกลับมาที่ Mirror Lake ตามเส้นทาง ฉันเห็นร่องรอยหินถล่มเป็นระยะๆ ซึ่งระหว่างเดินบางครั้งก็ได้ยินเสียงมาจากที่ไกลๆด้วย อย่างไรก็ดีภูมิประเทศอันสวยงามก็ชักชวนให้ฉันเดินต่อไปได้เรื่อยๆอย่างไม่รู้สึกกังวลอะไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมาถึงทะเลสาปที่มีน้ำใสสะท้อนภูมิประเทศเหนือน้ำลงไปในน้ำ เหมือนกับกระจกสะท้อนเงาตามชื่อของทะเลสาป ไม่ว่าจะเป็นภูผา ก้อนหินหรือต้นไม้ รวมไปถึงท้องฟ้าและเงาเมฆ ต่างส่องกระจกน้ำสะท้อนความงามของตนเองอย่างภาคภูมิ ยิ่งมีแสงแดดดีๆ ท้องฟ้าแจ่มๆด้วยแล้ว งามอัศจรรย์จนบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว…

เมื่อเดินทางต่อลงมาทางใต้ของตัวทวีป ฉันขับรถเข้าเส้นทางขึ้นเขาไต่ไปที่ความสูงเกินกว่า 2,000 เมตร ภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไปในทันที สองข้างทางมีแต่หิมะขาวโพลน ดีที่เขาเกลี่ยหิมะตามเส้นทางออกให้รถวิ่งได้โดยไม่เกิดอันตราย และป่าเริ่มเปลี่ยนไปเป็นพืชเมืองหนาวอย่างต้นสนที่ยังคงความเขียวเข้มได้ตลอดปี ต้นสนที่เห็นเริ่มเปลี่ยนชนิดและใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ฉันกำลังเข้าสู่เขตป่าดึกดำบรรพ์ของต้นสน Sequoia ที่มีชื่อสามัญว่า Sierra Redwood แต่เป็นต้นสนในตระกูล Conifer ต้นสนเหล่านี้สามารถมีอายุยืนยาวได้เป็นพันๆปี อยู่กันยืนยาวขนาดนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงขนาดกันล่ะ และแล้วฉันก็ได้ผ่านเข้าไปทักทายปู่ทวดสนเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 2,200 ปี ฉันหยุดยืนชื่นชมด้วยความตะลึง…ทึ่ง และแปรเปลี่ยนมาเป็นความนอบน้อมถ่อมตน ต่อขนาดอันใหญ่โตของ General Sherman Tree ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะมีมวลลำต้นหนักกว่า 1,385 ตันด้วยความสูงกว่า 83 เมตร

ขณะที่ขับรถเข้ามาในอุทยานแห่งชาติ Sequoia แห่งนี้ ก็เห็นอยู่แล้วว่ามีสนยักษ์เรียงรายอยู่หลายต้น แต่ก็ไม่มีต้นไหนใหญ่ไปกว่าต้นนี้ที่มีเส้นรอบวงลำต้นยาวกว่า 12 เมตร และจากข้อมูลในพิพิธภัณฑ์สนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก เขาได้เปรียบเทียบให้เห็นว่าปู่ทวดอย่างนายพลเชอร์แมนต้นนี้ มีน้ำหนักเทียบเท่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเจ้าวาฬสีน้ำเงินถึง 10 ตัว หรือถ้าเอาท่านนายพลวางนอนก็จะยาวเกือบเท่าๆสนามฟุตบอล ส่วนอายุของท่านนายพลที่บอกไปแล้วนั้น เขาคำนวณมาจากวงปีของต้นไม้ยืนต้นประเภทสนนั่นเอง บริเวณโดยรอบนอกจากท่านนายพลแล้ว ยังมีต้นไม้ยักษ์ต้นอื่นๆยืนต้นกันอยู่เต็มไปหมดในทุ่งหิมะขาวโพลนที่ยังไม่ละลายไป ฉันตระหนักได้ถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของชีวิตมนุษย์ เมื่อได้ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศขลึมขลังของปู่ทวดสนเหล่านี้…

 

เพื่อไม่ให้ความหนาวเย็นจากหิมะเกาะกุมเข้าไปในกระดูกมากกว่าที่ควรจะเป็น ฉันขับรถลงเขามาตามทางอันคดเคี้ยวทางด้านใต้ของอุทยานฯ จนมาถึงระดับความสูงที่มีอากาศอบอุ่นมากขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเป็นสีเขียว บางส่วนออกดอกบานสะพรั่งเป็นช่วงๆอย่างสวยงาม มีวิวไกลๆเป็นแท่งหินแกรนิตขนาดใหญ่ของป่าสนยักษ์ด้านบนที่มีชื่อว่า Moro Rock จนมาจอดรถพักอีกทีในบริเวณที่เรียกว่า Hospital Rock อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมของชนเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่าหนึ่งที่หากินอยู่แถบนี้จนถึงเมื่อประมาณทศวรรษที่ 1870 บริเวณนี้ยังมีหลักฐานเป็นภาพเขียนสีบนกำแพงหิน และหลุมเล็กๆบนหินที่ชาวอินเดียนแดงใช้บดผลต้นโอ๊ก (เอคอร์น) หรือลูกสน เพื่อทำแป้งอีกด้วย บริเวณใกล้เคียงยังมี Tunnel Rock หินขนาดใหญ่ที่วางแนวนอนพาดกับหินอีกก้อนเหนือหัวเหมือนเป็นหลังคาถ้ำที่มีถนนตัดให้รอดผ่านได้ (แต่ปัจจุบันมีทางเบี่ยงอื่น)

เมื่อออกจากอุทยานฯ ฉันก็ขับรถผ่านทะเลสาปอิสซาเบลไปที่เขตอนุรักษ์อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) มีชื่อเรียกว่า Kern River Preserve ซึ่งมีการดำเนินการอนุรักษ์และศึกษาวิจัยพื้นที่ป่าน้ำท่วมถึงในบางฤดูโดย Audubon California ในบริเวณสวนของที่ทำการ มีแขวนที่ให้อาหารนกเต็มไปหมด รออยู่ไม่นานฉันก็ได้เห็นนกตัวเล็กที่สุดในโลกอย่างนกฮัมมิ่งเบิร์ดพากันมากินน้ำหวานที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้อย่างสบายใจ ก่อนเดินทางเข้าเทรลที่สามารถรับเอกสารให้ข้อมูลความรู้ติดมือเดินเข้าไปได้เองโดยไม่ต้องมีไกด์ นกป่านานาชนิด กวาง ฯลฯ รวมทั้งไม้เลื้อยแปลกๆที่เวลาแห้งตายจะม้วนเป็นกลมๆ อย่างที่เคยเห็นในหนังคาวบอย รวมทั้งดอกไม้ป่าหลาดสีสันมีให้เห็นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกัน ฉันก็พยายามสอดส่ายสายตามองหาสิงโตภูเขาที่เขาบอกว่ามีอาศัยอยู่ในแถบนี้ด้วย แม้จะรู้ว่าไม่มีทางพบเห็นได้ง่ายๆก็ตาม

จากเขาสูง ป่าสน และพื้นที่ชุ่มน้ำ ฉันเดินทางลงใต้เรื่อยๆ และหนีไม่พ้นที่เข้าสู่เขตทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว และด้วยความที่อยากเห็นอะไรๆมากมายกว่าเส้นทางบนทางหลวง ฉันจึงเลือกที่จะขับไปตามเส้นทางเล็กๆ ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านต่างๆมากกว่า ภายในวันเดียว ฉันได้เห็นทั้งภูเขาหญ้าเขียวๆ ที่ราบแห้งๆร้อนและแห้งแล้ง ไต่ระดับไปถึงภูเขาสูงสีน้ำตาลแห้งๆ ทะเลสาป และบางเส้นทางยังตะลุยเข้าไปในเขตทะเลทรายที่ฝุ่นตลบจนแทบไม่เห็นทาง มีพุ่มไม้เตี้ยๆและต้นยุคคา (Yucca) พืชที่ขึ้นในเขตแห้งแล้งกระจายอยู่โดยทั่ว จนมาโผล่อีกทีที่อุทยานแห่งชาติต้นโจชัว (Joshua Tree National Park) ในเขตทะเลทรายโมชาเว่ (Mojave Desert)ต่อเนื่องไปยังทะเลทรายโคโรลาโด (Colorado Desert) เช่นเดิม พื้นที่ยังคงเป็นเขตทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ดีตรงที่มีศูนย์บริการฯให้ความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับทะเลทราย ฉันได้เห็นต้นโจชัว ซึ่งเป็นต้นยุคคาชนิดหนึ่งในตระกูลลิลี่ยักษ์ มีใบเป็นเหมือนหนามยาวๆขึ้นเป็นพุ่มๆอยู่ตามปลายลำต้นที่สามารถโตสูงขึ้นไป 2-3 เมตรได้ ชาวพื้นเมืองโบราณที่นี่ยังสามารถใช้ใบเหล่านี้สานเป็นตะกร้า รองเท้าแตะ และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆได้อีกด้วย ได้เห็นต้นตะบองเพ็ชรหลากหลายรูปแบบ และได้รู้จักโอเอซิสในทะเลทรายว่าเป็นอย่างไร ตามพื้นที่แห้งแล้งอันกว้างใหญ่นี้ยังมีหินรูปทรงแปลกๆแทรกตัวอยู่ด้วย และที่แปลกตาที่สุดคงหนีไม่พ้นหินรูปหัวกระโหลก ที่ดูอย่างไรก็เหมือนจนอดที่จะปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปไม่ได้ นอกจากการได้รู้จักกับทะเลทรายที่ไม่มีในเมืองไทยแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันยอมขับรถตะลุยทะเลทรายแบบนี้เพราะอยากได้ยลโฉมเจ้าโร้ดรันเนอร์ นกที่ติดตามาจากการ์ตูนสมัยเด็กๆที่วิ่งเร็วๆ ไปตามพื้นร้องเสียง “ปี๊บๆ” เอาเถิดเจ้าล่อกับหมาป่าคาโยเต้ในทะเลทรายของอเมริกา และก็ไม่ผิดหวังหลังจากมองหามานานสองนาน นกขนาดกลาง (เล็กกว่าที่ฉันจินตนาการไว้) สีออกน้ำตาลแซมดำไว้ผมทรงโมฮ็อคสีดำ ก็วิ่งตัดถนนผ่านหน้ารถฉันไป (เสียดายว่าไม่ร้อง “ปี๊บๆ) ก่อนที่ฉันจะขับรถออกมานอกเขตอุทยานฯ เพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนที่แตกต่างแห่งสุดท้ายสำหรับการเดินทางครั้งนี้

ทะเลซัลตัน (Salton Sea) จริงๆแล้วเป็นทะเลสาปน้ำเค็มอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจนดูเหมือนทะเล (เพราะมองไม่เห็นฝั่งอีกข้าง) ที่อยู่ในตัวทวีปของรัฐแคลิฟอร์เนียทางตอนใต้ รอบๆทะเลสาปค่อนข้างแห้งแล้ง และน้ำลดระดับลงมากในช่วงที่ฉันไปถึง สังเกตจากพื้นที่ที่เป็นดินแตกระแหงริมขอบน้ำ ไม่น่าเชื่อว่าทะเลซัลตันที่เห็นตรงหน้าไม่ได้เกิดตามธรรมชาติแต่เกิดจากการผันน้ำผิดพลาดเมื่อร้อยกว่าปีก่อน (ค.ศ. 1905) สาเหตุมาจากไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นมีการผันน้ำจากแม่น้ำโคโลราโดมายังพื้นที่บริเวณนี้เพื่อพัฒนาการเกษตร แต่ในปีที่เกิดเหตุนั้นได้เกิดความผิดพลาดจากโครงสร้างในการผันน้ำทำให้น้ำจากแม่น้ำโคโลราโดเอ่อท่วมและไหลเข้าสู่หุบเขาอิมพีเรียลซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นแอ่งอยู่แล้วเป็นเวลาเกือบสองปี ก่อให้เกิด ทะเลซัลตันที่เห็นในปัจจุบัน ทะเลสาปแห่งนี้ไม่มีทางออกทะเลและพื้นผิวน้ำอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 70 เมตร กินพื้นที่กว้างขวางกว่า 970 ตร.กม. เนื่องจากเป็นทะเลสาปปิดไม่มีทางออกสู่แม่น้ำหรือทะเล น้ำที่นี่จึงหายไปจากการระเหย และได้เพิ่มจากการทำการเกษตรและพื้นที่และน้ำฝนเท่านั้น ซึ่งทำให้น้ำในแอ่งนี้เค็มขึ้นทุกปีและขนาดของมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล โดยเฉลี่ยกว้างประมาณ 24 กม. และยาวประมาณ 56 กม. บางด้านของทะเลสาปที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จึงเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติที่สำคัญ มีนกน้ำชนิดต่างๆมารวมตัวกัน รวมไปถึงสัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อนคลานหลากหลายชนิด แถมบางที่ยังมีแอ่งโคลนเดือดปุดๆขึ้นมาจากพื้นอีกด้วย แม้ว่าจะมีอากาศร้อนในช่วงเวลาที่ฉันผ่านเข้าไป แต่บริเวณรอบๆทะเลซัลตันแห่งนี้ก็ถือเป็นแหล่งตากอากาศที่ได้รับความนิยม ฉันขับรถวนดูนกนานาชนิด และแปลงเกษตรโดยรอบที่มีเจ้า Burrowing Owl ตัวน้อยยืนโชว์ตัวอยู่ตามตอไม้ตอนกลางวันแสกๆ โดยไม่ค่อยกลัวคนหรือหนีไปไหนไกลผิดวิสัยนกเค้าโดยทั่วๆไป (ตามตำราว่ามันจะยืนอยู่แถวๆหน้ารังของมันที่ทำโพรงอยู่ในดินแถวๆนั้น)

การเดินทางทางฝั่งตะวันออกของมลรัฐแคลิฟอร์เนียจากทางตอนกลางของรัฐลงมาทางใต้ สิ้นสุดลงที่นี่ ฉันขับรถตรงเข้าสู่ลอสแองเจลิส เมืองอันคุ้นหน้าคุ้นตาของใครหลายๆคน ก่อนคืนรถที่สนามบินและบินกลับบ้านเกิดเมืองนอน โดยได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งฉันคงจะได้ไปเยือนความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หลากหลายและไม่ธรรมดาในดินแดนที่แตกต่างอย่างแคลิฟอร์เนียแห่งนี้อีกครั้ง…

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s