เมือง Vladivostok (วลาดิวอลสต๊อก) จะเรียกว่าเป็นเมืองหลวงของเขตการปกครอง Primorsky Krai (ปรีมอร์สกี ไคร) ในดินแดนรัสเซียตะวันออกไกลหรือ Russian Far East ก็ว่าได้ จะว่าไปเมืองนี้ก็เพิ่งเปิดตัวต่อชาวโลกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เท่านั้น ในขณะที่ตัวเมืองจริงๆ เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาได้เพียงร้อยกว่าปี (ประมาณ 1860s) ตั้งแต่มีการสร้างฐานทัพเรือให้สมกับชื่อเมืองที่แปลว่า “เพื่อปกครองดินแดนตะวันออก- To Rule the East) และตามมาด้วยการมาถึงของสถานีปลายทางของเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์ทรานส์ไซบีเรีย (ปี 1891) เคยเป็นที่ลี้ภัยของชาวต่างชาติและผู้นิยมพระเจ้าซาร์ในขณะที่มีการปฏิวัติรัสเซีย ก่อนจะเข้าสู่ยุคสหภาพโซเวียตและเปิดตัวอีกทีเมื่อโซเวียตล่มสลาย อย่างไรก็ดี ถ้าเป็น 20-30 ปีก่อนคงไม่มีใครอยากมาที่นี่ เพราะเต็มไปด้วยอาชญากรรม มาเฟีย แก๊งสเตอร์ที่เข้ามาช่วงชิงพื้นที่ทำการค้าสร้างอิทธิพลเถื่อนกันหลังโซเวียตล่มสลายใหม่ๆ แต่ปัจจุบันโฉมหน้าของเมืองนี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสร้างเมืองครั้งใหญ่เพื่อการจัดการประชุม APEC เมื่อปี 2012 ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพานแขวนข้ามอ่าว สาธารณูปโภคต่างๆ ถนนหนทาง รวมถึงโรงแรมใหม่ๆที่ผุดขึ้นมาให้เลือกมากขึ้น




เมือง Vladivostok กลายเป็นเมืองน่าเที่ยวที่ปลอดภัย มีกลิ่นอายของเอเชียผสมกับยุโรปอ่อนๆ การเดินชมเมืองในเขตเมืองเก่าจึงมีเสน่ห์ไม่เบา เพราะจะได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบต่างๆทั้งบ้านไม้ซุงสไตล์ไซบีเรียอายุเป็นร้อยปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกใหญ่ๆทะมึนแบบยุคสหภาพโซเวียต ย่านเก่าของคนจีน เกาหลี ฯลฯ ซึ่งบ้านเรือนและตึกเก่าๆ บางส่วน คนรุ่นใหม่ก็เอามาดัดแปลงเป็นร้านเก๋ๆ ชิคๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่มันไม่ได้รวมตัวเป็นกระจุกแบบหลายๆเมือง คือเดินๆไปรอบข้างไม่มีอะไรมากมายนอกจากที่อยู่อาศัยของชาวเมือง จู่ๆ ก็เจอร้านหนังสือเจ๋งๆ อยู่ท่ามกลางตึกที่ดูทรุดโทรม หรือเดินไปอีกบล็อคเจอร้านขายของแบบคราฟๆ ฯลฯ ชาวเมืองเองก็มีทั้งหัวดำแบบชาวเอเชียและหัวทองแบบชาวตะวันตกผสมปนเปกันไป ถนนหนทางแม้จะใช้เลนขวาแบบยุโรปส่วนใหญ่ แต่รถที่นี่นำเข้ารถเก่ามาจากญี่ปุ่นก็เลยมีแต่พวงมาลัยขวาไปด้วย (เหมือนพม่าสมัยก่อน) แค่นั่งในรถก็รู้สึกแปลกๆ ถ้าขับเองนี่คงงงเป็นไก่ตาแตก….
นอกจากการเดินชมเมืองเก่า ตลาดอาหารทะเล (ที่มีขายเบียร์สดแบบเติมใส่ขวดราคาย่อมเยาว์ควบคู่ไปกับร้านขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลตากแห้ง ซึ่งใช้เป็นกับแกล้มอย่างดีอยู่ด้วย) กับถนนคนเดินที่มีร้านค้าสมัยใหม่มากมายแล้ว แลนด์มาร์กในตัวเมืองที่ควรไปเยี่ยมชมคือสถานีรถไฟ Vladivostok Station ที่มีตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นรัสเซียสร้างเสร็จในปี 1891 ตัวกำแพงมีประดับโมเซอิคเกี่ยวกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่มีประวัติน่าสนใจว่าอดีตเคยมีคนเอาสีมาป้ายทับไว้สมัยช่วงปฏิวัติโซเวียต ทำให้สถานีนี้ไม่ถูกทำลายไปกับการโค่นล้มราชวงศ์ และไม่มีใครรู้เกี่ยวกับภาพประดับโมเซอิคเหล่านั้น จนมาเจอเมื่อมีการซ่อมแซมใหญ่ในปี 1995 ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นหรือปลายทางของเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก Trans-Siberia (9,288 กม) ซึ่งสามารถนั่งรถไฟรวดเดียวไปถึงมอสโกได้เลย โดยใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน ตัวสถานีมีความน่าสนใจมากทั้งรูปแบบและศิลปะตกแต่งภายใน มีภาพเขียนสีบนเพดานห้องโถง มีบริเวณที่จัดแสดงประวัติความเป็นมา และมีหลักกิโลเมตรที่ 9,288 ที่ชานชาลาให้ไปถ่ายรูปสำหรับผู้ที่จะเดินทางตามเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรียอีกด้วย ใกล้ๆกับสถานีมีรูปปั้นของเลนินผายมือ ที่ดูเหมือนจะเป็นรูปปั้นที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะไปที่ไหนของรัสเซีย





และเพื่อให้ได้ความรู้สึกของความเป็นรัสเซียตะวันออกไกลอีกหน่อย เลยจากตัวเมืองออกไปจนจรดทะเลทางด้านตะวันออก จะเป็นที่ตั้งของประภาคาร Tokarevsky (โตกาเรฟสกี) สร้างครั้งแรกเมื่อประมาณปี 1876 โดยการรวมเงินของนักธุรกิจชาวจีนที่เข้ามาค้าขายในยุคนั้น ถือเป็นผืนดินสุดท้ายของตัวทวีปก่อนเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิค และเป็น Landmark สำคัญของเมือง ตัวประภาคารแปดเหลี่ยมสีขาวสูง 11.9 เมตร (สร้างขึ้นใหม่ภายหลังในปี 1910) ตั้งอยู่บนสันดอนจะงอยทรายที่น้ำท่วมถึงในช่วงที่น้ำขึ้นสูง ในช่วงหน้าหนาวอาจมีโอกาสได้เห็นแมวน้ำลายจุด (Spotted Seals) ที่ว่ายน้ำไปมาแถวนั้นหรือขึ้นมานอนอาบแดดเล่นแถวๆกองหินตรงประภาคารอีกด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นแลนด์มาร์กจุดปักหมุดขอบทวีปแห่งรัสเซีย จึงหนีไม่พ้นที่จะเป็นจุดท็อปฮิตของนักท่องเที่ยว (โดยเฉพาะชาวจีน) มากมายที่มารวมตัวกันบนสันดอนทรายแคบๆบริเวณประภาคารแห่งนี้
Vladivostok มีสะพานแขวนสองแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อต้อนรับการประชุม APEC ตามที่กล่าวข้างต้น หนึ่งคือสะพาน Zolotoy Bridge หรือ Golden Bridge ที่ผาดผ่านอ่าว Zolotoy Rog หรือรู้จักกันโดยทั่วไปว่า Golden Horn Bay สะพานแขวนแห่งนี้หากมองไกลๆจะเห็นเสาสะพานแขวนที่ปลายแยกออกจากกันเหมือนกะโดงเรือ ใกล้ๆกันมีเนินเขาที่เป็นจุดชมวิวสะพานและตัวอ่าวที่เป็นมุมมหาชนที่ไม่ควรพลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงตะวันตกดิน วิวที่เห็นจากบนเนินนี้ช่วยให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าทำไมที่นี่จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย ขอแนะนำว่าหากได้มีโอกาสนั่งรถผ่านไปบนสะพานนี้อย่าลืมมองหาเรือดำน้ำที่ยังใช้การได้จริงจอดอยู่ในทะเลบริเวณที่ตั้งฐานทัพเรือแถวนั้นด้วย… ส่วนอีกหนึ่งสะพานนั้นสร้างขึ้นเพื่อข้ามช่องแคบบอสฟอรัสตะวันออกไปยัง Russky Island (เกาะรุสสกี) ตัวสะพานจึงมีชื่อว่า Russky Bridge ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่มีช่วงกว้างของการยึดลวดสลิงที่ยาวที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน (1,104 เมตร) ใต้ฐานเสาสะพานยังเป็นที่ตั้งของป้อมปืนที่สามารถหาทางลงไปเดินเล่นถ่ายรูปได้อีกด้วย
Russky Island เป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Vladivostok เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Far Eastern Federal University ที่มีขนาดใหญ่โตมาก มีนักศึกษากว่า 4 หมื่นคนจาก 60 กว่าประเทศ เรียกได้ว่าเป็นเมืองย่อมๆเลยทีเดียว แต่ที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวคือการไปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งใหม่บนเกาะแห่งนี้ที่มีชื่อเรียกว่า Primorsky Oceanarium (เพิ่งเปิดเมื่อปี 2016) ถือเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียและยังเป็นศูนย์วิจัยฯสัตว์น้ำในพื้นที่อีกด้วย ในพิพิธภัณฑ์นอกจากจะมีการจัดนิทรรศการต่างๆตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาจนปัจจุบัน ยังให้ความรู้เกี่ยวกับทะเลโดยรอบบริเวณนี้และดินแดนลุ่มน้ำ Amur (อามูร์) แม่น้ำที่ยาวกว่า 2,800 กม. และเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งแห่งไซบีเรีย มีการจัดแสดงสัตว์น้ำต่างๆที่ทำขึ้นเท่าขนาดตัวจริงในธรรมชาติ มีตู้และอุโมงค์อควาเรี่ยมขนาดใหญ่ทั้งแบบน้ำเค็มและน้ำจืด มีการแสดงโลมาและเบลูก้า และส่วนแสดงสัตว์น้ำอื่นๆอีกมากมาย ดาวเด่นของที่นี่คือสิงโตทะเลสเตลเลอร์ขนาดยักษ์ชื่อ Aik (ไอค์) และตัววอลรัสหน้าตาน่าเอ็นดูชื่อ Micha (มิชา) รวมถึงการมีโอกาสได้เห็นปลาสเตอร์เจี้ยนยักษ์แห่งแม่น้ำอามูร์ Amur Sturgeon (Acipenser schrenckii) ซึ่งเป็นปลาที่น่าตื่นตาตื่นใจมากด้วยหน้าตาและขนาดของมัน ว่ากันว่าปลาแม่น้ำนี้สามารถตัวโตได้ถึง 3 เมตรเลยทีเดียว นอกจากนี้ Russky Island เกาะที่ใหญ่ที่สุดในเขต Primorsky Krai แห่งนี้ ยังมีหาดทรายหลายแห่ง และป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าไปลึกๆในเกาะ ถือเป็นสถานที่พักผ่อนแบบเอ้าท์ดอร์ที่เป็นที่นิยมของชาวพื้นถิ่น ตามแนวเขตรอบๆเกาะยังเป็นมีป้อมปราการมากมายสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ถูกค้นพบแล้วและเชื่อว่ายังไม่ถูกค้นพบอีกหลายแห่ง ในปัจจุบันเกาะ Russky กำลังได้รับการพัฒนาก่อสร้างสิ่งต่างๆมากมายหลายด้านโดยเฉพาะการลงทุนจากนายทุนจีน ล่าสุดในปี 2019 ที่ผ่านมา เกาะแห่งนี้ยังเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินและคิมจองอุน ผู้นำเกาหลีเหนืออีกด้วย
ปัจจุบัน Vladivostok ถือเป็นเมืองท่าสำคัญทั้งด้านการค้าและการทหารของรัสเซียทางตะวันออก ในขณะที่ตัวเมืองเองก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองที่สะดวกสบายตามยุคสมัย พื้นที่บริเวณใกล้เคียงนอกเมืองยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามน่าสนใจและยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับชาวต่างชาติอีกหลายแห่ง นอกจากนี้ เมืองที่อยู่ติดทะเลตรงข้ามกับญี่ปุ่นแห่งนี้ยังมีอาหารทะเลที่อร่อย ถูกและดี (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอาหารทะเลแบบเดียวกับที่คนไทยชอบไปหากินกันที่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น) ไม่ว่าจะเป็นปู Kamchatka ตัวยักษ์ ปูขนตัวใหญ่ๆ กุ้ง ปลาหรือหอยเชลล์สดๆ รวมไปถึงไข่ปลาคาร์เวียของแท้ (ถ้าจะให้ดีติดน้ำจิ้มซีฟู้ดจากเมืองไทยไปด้วย จะมีความสุขกับการกินที่นี่มาก) อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่เจอคือโดยทั่วไปไม่ค่อยมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ แม้ทุกคนจะพยายามช่วยเหลือเป็นอย่างดีก็ตาม ไปเที่ยวรัสเซียตะวันออกไกลแบบนี้ถ้าไม่ได้มีไกด์ดูแล ก็ควรจะหัดจำคำศัพท์ และศึกษาการเขียนตัวหนังสือไปบ้างจะช่วยได้มาก เพราะป้ายทั่วๆไปแทบจะไม่มีภาษาอังกฤษให้เห็นเลย



[…] Russian Far East: Vladivostok […]
ขอบคุณที่รีโพสต์เรื่องที่เขียนนะคะ แต่กรุณาให้เครดิตที่ไปที่มาด้วยค่ะ เนื่องจากเข้าไปดูทางเพจแล้วเหมือนว่าเอาเรื่อง/รูปของคนอื่นๆมาลง เสมือนเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเอง คิดว่าไม่เหมาะสมนะคะ