Kazan: The Cauldron of Tatarstan

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีข่าน (Khan) องค์หนึ่งต้องการที่จะสร้างเมือง เขาถามราษฎรของเขาว่า “เราควรจะสร้างเมืองที่ไหนดี?” มีเสียงตอบกลับขึ้นมาว่า “จงเติมน้ำในหม้อต้ม (ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Kazan) วางไว้บนเกวียนเทียมม้า แล้วจุดไฟใต้หม้อต้มน้ำนั้น แล้วปล่อยให้ม้าเดินออกไป หากน้ำในหม้อต้มนั้นเดือดที่ไหน ก็ให้สร้างเมือง ณ ตรงจุดนั้น” แล้วพวกเขาก็ทำตามเสียงนั่น น้ำในหม้อต้มที่ว่ามาเดือดในอาณาเขตที่เป็นที่ตั้งของเมือง Kazan (คาซาน)ในปัจจุบัน… Read More Kazan: The Cauldron of Tatarstan

Antwerp, Belgium

Antwerp, Belgium GPS นำทางฉันข้ามแดนโดยไม่รู้ตัวมาถึงเมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงจากฮอลแลนด์ เมืองท่าสำคัญในเขตแผ่นดินต่ำของเบลเยี่ยม หลังจากสับสนมึนงงกับการขับรถในเมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย จากถนนเส้นใหญ่เลี้ยวไปกลายเป็นถนนหินแคบๆเดินรถทางเดียว สัญญาณไฟบนถนน มีทั้งเพื่อรถราง รถยนต์และคนข้าม ยังไม่รวมถึงจักรยานที่มีให้เห็นและระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ฉันรู้สึกโล่งอกเมื่อพาตัวเองมาถึงหน้าอาคารเก่าแก่หลังหนึ่งไม่ไกลจากใจกลางเมือง หลังจากทักทายกับเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็ต้องหนักใจอีกครั้งเมื่อต้องขับรถที่เช่ามาตัดถนนแบบงงๆสองสามสาย ไปยังที่จอดรถใต้ดิน ที่มีประตูทางเข้ากว้างกว่าตัวรถไม่ถึง 30 ซม. อันเป็นที่จอดรถปกติของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าของบ้านใจดีให้ฉันใช้ที่จอดรถระหว่างการเยี่ยมเยือนและเที่ยวชมเมืองเก่าตั้งแต่ยุคกลางแห่งนี้ สองวันหลังจากนี้ของฉันจึงเป็นการเดินเท้าเที่ยวชมย่านเมืองเก่า โดยมีเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนท้องถิ่นพาชมเมืองด้วยตัวเอง หลังจากเดินกลับมาที่บ้านหลังเก่าสี่ชั้นที่เก่าแก่กว่าสี่ร้อยปี ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากทางการ เจ้าของบ้านเล่าว่าเวลาจะปรับปรุงต่อเติมต้องขออนุญาตจากทางการก่อน แม้แต่จะปลูกต้นไม้หน้าบ้านหรือวางกระถางต้นไม้ไว้ที่หน้าต่างก็ต้องผ่านความเห็นชอบ เจ้าของบ้านซึ่งคุ้นเคยกับฉันเป็นอย่างดีว่าชื่นชอบการชิมเบียร์ขนาดไหน สิ่งแรกที่เขาพานำชมจึงเป็นการเดินลงห้องใต้ดินที่เป็นที่เก็บไวน์และเบียร์หลากหลายชนิด สมกับที่เบลเยี่ยมเป็นประเทศที่มีเบียร์มากยี่ห้อที่สุดในโลก (มากกว่า 400 ยี่ห้อ) ก่อนพานำชมบ้านเก่าที่มีบันไดไม้แคบๆ และยังมีส่วนคานและโครงบางส่วนเป็นไม้ กำแพงก่ออิฐ กับข้าวของรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่จากที่ต่างๆ เนื่องจากเจ้าของบ้านคนนี้เป็นนักสะสมและซื้อขายของเก่า (รวมทั้งไวน์เก่า) ตัวยง จากนั้นฉันจึงพาตัวเองลากกระเป๋ากรอกแกรกไปตามถนนหิน ซึ่งเป็นถนนในยุคกลางที่พบได้ทั่วไปในเมืองแอนต์เวิร์ปไปยังที่พักใจกลางเมืองที่จองเอาไว้ ในบริเวณที่เรียกว่า Grote Markt (Great Market Square) ซึ่งก็คือจัตุรัสใจกลางเมือง ที่พักของฉันอยู่เหนือผับแห่งหนึ่ง ฉันแทบมองหาทางเข้าไม่เจอนึกว่าต้องเดินผ่านผับเข้าไป เมื่อมองจากหน้าต่างห้องพักลงมา ฉันเห็นตึกเก่าเรียงเป็นแถวอันได้แก่อาคารสูงหน้าจั่วสามเหลี่ยมเรียงต่อกันที่เรียกว่า Guild… Read More Antwerp, Belgium

A Small Picturesque Village of Zaanse Schans

หมู่บ้านประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำซาน (Zaan) แม่น้ำสายเล็กๆที่เชื่อมระบบคูคลองต่างๆของภูมิภาคซาน (Zaan District) ในจังหวัดฮอลแลนด์เหนือ ไม่ไกลจากกรุงอัมสเตอร์ดัมมากนัก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ ว่ากันว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยือนพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ถึงปีละเกือบๆล้านคน และฉันเชื่อแน่ว่าเกินกว่า 90% ของนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ มาเยือนเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเป็น Day Trip หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ Half-day Trip เท่านั้นเอง เนื่องจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพียงแค่ 20 นาทีโดยทางรถไฟจากสถานีอัมสเตอร์ดัมเซ็นเตอร์ หรือจะเดินทางโดยเรือโดยสารที่มีเปิดบริการในฤดูร้อน หรือมาตามถนนก็แสนสะดวกสบายมีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวบริการ อย่างไรก็ดี สำหรับคนต่างถิ่นที่เช่ารถขับอย่างฉัน กลับเลือกที่จะแวะพักที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ แล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวในเมืองหลวงแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการขับรถเข้าไปในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายและสับสนสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย แม้จะมีเวลาเพียงไม่กี่วัน  แต่การได้เดินเล่นในหมู่บ้านที่ชื่อ “ซานสคันส์ (Zaanse Schans)” แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่เงียบสงบในช่วงเช้าตรู่และพลบค่ำ ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากช่วงเวลากลางวันที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากนานาชาติที่มาเที่ยวชมความงามและความน่ารักของหมู่บ้านที่มีผู้กล่าวว่า รวมเอาความเป็นเนเธอร์แลนด์แท้ๆเอาไว้ให้ได้เห็นและสัมผัสในที่เดียว                 เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะซานสคันส์ หมู่บ้านในเขตเทศบาลเมืองซานสตัด (Zaanstad) แห่งนี้ เป็นพื้นที่ที่ได้มีการโยกย้ายเอากังหันลมแบบดั้งเดิมขนาดใหญ่ใช้งานได้จริง บ้านและอาคารเก่าๆในรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของภูมิภาคซานจากที่ต่างๆ ที่มีอายุอานามถึงกว่า 200-400 ปีมารวบรวมไว้ด้วยกัน ในช่วงทศวรรษ 1970 เพื่อเป็นการอนุรักษ์บ้านเรือนโบราณที่ยังเหลือกระจัดกระจายตามที่ต่างๆ และกำลังถูกคุมคามจากความเจริญ… Read More A Small Picturesque Village of Zaanse Schans

York & Notts มหาวิหารและตำนานป่าเชอร์วู้ด

หลังจากตะลอนเที่ยวดินแดนทางตอนเหนือของเกาะบริเตน เขาขับรถพาฉันผ่านป้ายหินแสดงเขตแดนระหว่างสก็อตแลนด์และอังกฤษมา 2-3 ชั่วโมง ก่อนเลี้ยวรถออกจากทางหลวง A1(M) บ่ายหน้าเข้าสู่เมือง “ยอร์ก” ในมณฑลยอร์กไชร์ เมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยอารยธรรมยุคกลางตั้งแต่เมื่อ 7-800 ปีที่แล้ว เมืองที่ว่ากันว่าเป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ…เขาหันมาบอกฉันว่า “เราจะเริ่มต้นในอังกฤษกันที่นี่” หลังจากหาที่จอดรถได้ เขาจูงมือฉันพาเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำอูซที่ไหลผ่านเมือง มองเห็นทิวทัศน์สวยงาม มีชาวเมืองกำลังซ้อมกรรเชียงเรือลำยาว มีทั้งแบบฝีพายคู่และสามสี่ฝีพาย เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกเราพากันเดินขึ้นกำแพงเมืองที่สร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเมื่อทอดสายตาไล่ตามกำแพงจากจุดที่พวกเราเดินอยู่ไปเรื่อยๆ ฉันก็ได้เห็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองยอร์กแห่งนี้ตั้งเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล… เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ฉันได้แต่แหงนหน้ามองดูศาสนสถานขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของรูปสลักต่างๆ แทบทุกแง่มุมของผนังด้านนอก ก่อนเขาจะพาฉันเดินเขาสู่ความอัศจรรย์ยิ่งกว่าที่อยู่ในตัวโบสถ์ด้านในของ ยอร์กมินสเตอร์ (York Minister) มหาวิหารโกธิคที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษและยุโรปตอนเหนือ ที่ใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 250 ปี (ค.ศ. 1220-1427) ส่วนที่สูงที่สุดคือส่วนกลางสูงถึง 60 เมตร และมีความยาวโดยรวมถึง 158 เมตร… เขาเดินไปเข้าแถวจ่ายค่าเข้าชมด้านใน (4.50 ปอนด์/คน) ในขณะที่ฉันยังแหงนคอตั้งบ่ากับภาพที่เห็นเบื้องหน้าจนเขาเดินมาสะกิด ก่อนยื่นแผ่นพับที่ได้มาให้ แล้วจูงมือฉันเข้าชมด้านใน เขากระซิบบอกอีกว่าวิหารนี้เป็นมีที่ประทับของอาร์คบิชอปแห่งยอร์ก ซึ่งเปรียบเหมือนตำแหน่งสังฆราชของอังกฤษ จะเป็นรองก็แต่อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอเบอรี่ที่เป็นใหญ่ทั่วทั้งอังกฤษเท่านั้น ยังไม่ทันไร เขาก็มาลากฉันพาไปดูกระจกสี (สเตนกลาส)… Read More York & Notts มหาวิหารและตำนานป่าเชอร์วู้ด

KENT

เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่มีอยู่กับการดูแผนที่บริเวณรอบๆมหานครลอนดอนอยู่สองสามรอบ ฉันตัดสินใจมุ่งหน้าลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง ครั้งนี้ฉันตั้งใจไปเยี่ยมชมพื้นที่ตกสำรวจของตัวเองบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงลอนดอน ในเขตปริมณฑลที่มีชื่อว่าเค้นท์ (Kent) ที่วางตัวอยู่ระหว่างเมืองลอนดอนและช่องแคบอังกฤษที่จะข้ามไปยังประเทศฝรั่งเศสได้ พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นเขตยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาแต่โบราณ เนื่องจากเป็นบริเวณพื้นที่ที่ใกล้กับตัวแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรปมากที่สุดของเกาะอังกฤษ ผู้คนสมัยโบราณจะข้ามน้ำข้ามทะเลมารบกัน แย่งชิงอำนาจกันหรือจะอพยพย้ายถิ่นกันก็ผ่านกันมาทางนี้ ซึ่งในปัจจุบันทางรถไฟลอดใต้ทะเลไปยังตัวทวีปก็สร้างผ่านมาทางเค้นท์นี่แหละ หลังจากขับรถพ้นจากลอนดอนได้ไม่นาน ฉันแวะเยี่ยมชมสถานที่แห่งหนึ่งก่อนทันที เนื่องจากสะดุดคำแนะนำในหนังสือนำเที่ยวว่า “เป็นหนึ่งในปราสาทที่โด่งดังที่สุดและมีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” เท่านั้นยังไม่พอยังมีคำกล่าวของ Lord Conway อีกด้วยว่าเป็น “ปราสาทที่น่ารักที่สุดในโลก” อย่างนี้แล้ว จะไม่ให้ฉันแวะไปยลโฉมได้อย่างไร ปราสาทลีดส์ (Leeds Castle) อยู่ไม่ไกลจนเกินไปนักหากขับรถมาตามทางหลวงสาย M20 จากลอนดอน ไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงดี ก็มีแยก (ดูตามป้ายทางหลวง) ไปถึงตัวปราสาทได้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับเมือง Maidstone เมื่อผ่านประตูเข้าไป ยังต้องวิ่งรถไปตามถนนภายในอาณาบริเวณของปราสาทอีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงที่จอดรถ จากนั้นจะนั่งรถรับส่งของปราสาทที่มีบริการให้ไปที่ตัวปราสาท หรือจะเดินกับเดินก็แล้วแต่ความพอใจ เนื่องจากพื้นที่ของปราสาทค่อนข้างกว้าง ฉันเลือกที่จะพึ่งขาของตัวเอง เดินผ่านชมสวนอันกว้างใหญ่ของปราสาทก่อน นกเป็ดน้ำหลายหลายชนิดที่มาที่นี่เองโดยธรรมชาติและตัวแปลกๆสีสันสวยงามที่เขาเลี้ยงไว้ในบึงขนาดย่อมๆทำให้ฉันต้องหยุดแวะถ่ายรูปจนเดินไปไม่ถึงไหน รวมไปถึงเจ้าหงส์สีดำ อันเป็นสัญญลักษณ์ของปราสาทแห่งนี้ด้วย ว่ากันว่าเจ้าของคนสุดท้ายคือ Lady Baillie Olive นั้น เธอชื่นชอบนกสวยๆแปลกๆนักหนา และเธอก็เป็นคนแรกที่นำเข้าเจ้าหงส์ดำจากออสเตรเลียมาที่อังกฤษนี่ด้วย หลังจากที่เดินเลาะคูน้ำผ่านสวนและสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงปราสาทที่เด่นเป็นสง่ากึ่งๆคล้ายป้อมปราการตั้งอยู่บนเกาะสองเกาะเล็กๆกลางทะเลสาป เมื่อได้มาอ่านรายละเอียดของปราสาท ฉันจึงรู้ว่าไม่ได้เข้าใจผิด… Read More KENT

Stopover in Brussels

        ฉันเดินทางมาถึงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมและเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรปแห่งนี้ แบบเหมือนเป็นทางผ่านไปสู่เมืองในฝันอย่างบรูจช์มากกว่าที่จะตั้งใจมาเยือนที่นี่โดยตรง อย่างไรก็ตาม เวลาเกือบสองวันเต็มๆยามเข้าและก่อนออกจากประเทศนี้ ที่ตอนแรกฉันคิดว่าคงเหลือเฟือสำหรับการแวะเที่ยวนครหลวงเล็กๆแห่งหนึ่งของยุโรปที่ใช้ภาษาเฟลมมิชและฝรั่งเศสเป็นหลักกลายเป็นเวลาเพียงน้อยนิดเหลือเกินในการที่จะเยี่ยมชมเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ ประวัติศาสตร์และความทันสมัยแห่งนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ ฉันเริ่มต้นการเดินทางในนครหลวงแห่งนี้ที่สถานี Gare du Midi (Zuidstation) อันเป็นสถานีหลักที่รถไฟข้ามประเทศยูโรสตาร์ พาฉันลอดอุโมงค์จากประเทศอังกฤษ ผ่านฝรั่งเศสเข้ามาถึงที่นี่ หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแบบค่อนข้างเรียบง่ายที่สถานี ฉันก็พาตัวเองเดินลากกระเป๋าหาแผนที่ในสถานี เดินต่อไปซื้อตั๋ว ขึ้นรถรางที่เหมือนอยู่ใต้ดิน ไปโผล่ที่สถานีที่ใกล้ๆโรงแรมที่จองผ่านอินเตอร์เน็ตเอาไว้ เช็คอิน วางของ จากนั้นก็คว้ากล้องและเป้ใส่ของประจำตัว พาตัวเองไปนั่นรถรางใต้ดินอีกครั้ง เนื่องจากฉันมีเวลาขาเข้ามาในประเทศนี้หนึ่งวันก่อนเดินทางไปเมืองอื่น และอีกหนึ่งวันก่อนกลับออกจากประเทศนี้ ฉันจึงปวารณาตัวเองเที่ยวให้คุ้มที่สุด วันละเขตเมืองหลักๆเท่าที่จะเที่ยวได้เสียเลย ที่ฉันใช้ว่าวันละเขตเมือง เพราะบริเวณใจกลางของเมืองหลวงแห่งนี้ แบ่งเป็นสองส่วนหลักๆอันได้แก่เขตเมืองด้านล่าง (Lower Town) และเขตเมืองด้านบน (Upper Town) ซึ่งแบ่งแยกจากกันโดยมีแนวเนินเขาที่เป็นแนวยาวลงมาจากทางเหนือลงมาทางใต้เป็นเกณฑ์ ซึ่งในปัจจุบันมีถนน บ้านเรือนเชื่อมต่อกันอย่างแยกกันไม่ค่อยออก ฉันใช้บริการของรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่เรียกกันว่าเมโทร (Metro) และรถราง (Tram) ที่มีทั้งวิ่งใต้ดินและบนดินไปยังย่านสำคัญๆเป็นหลัก ก่อนใช้สองขาพาเดินชมส่วนต่างๆของเมืองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันเริ่มลุยส่วน Lower Town อันถือเป็นเขตเมืองเก่ามาแต่ดั้งเดิมที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าช่างอาชีพสาขาต่างๆที่พูดภาษาเฟลมมิชเป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต ด้วยการขึ้นรถรางไปที่สถานี Bourse (Beurs)… Read More Stopover in Brussels

In Bruges

ที่นี่ไปมาเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เช่นเดิม เอาบทความมาจากที่ตีพิมพ์ไปแล้ว ดูรูปใน album photo ประกอบนะจ๊ะ…ขอแนะนำจริงๆว่า ถ้ามีโอกาส ไปเถอะ…เมืองนี้…สวยจริง เจ๋งจริง…เริ่มเดินทางกันเลยคร๊าบ… ฉันขอออกตัวล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่า ชื่อเรื่องในครั้งนี้ ลอกเลียนมาจากภาพยนตร์ตลกเสียดสีสังคมอย่างร้ายกาจ ที่วางฉากเกือบทั้งเรื่องไว้ในเมืองอันแสนโรแมนติคอย่างเมืองบรูจส์ ในประเทศเล็กๆของยุโรปอย่างเบลเยี่ยม เอ่ยถึงชื่อเมืองนี้ อาจไม่เป็นที่รู้จักของใครหลายๆคน แต่สำหรับคนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเมืองนี้แล้ว ฉันเชื่อเหลือเกินว่า เมืองบรูจส์คงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายๆคนเลยทีเดียว ฉันเดินทางไปถึงเมืองมรดกโลกแห่งนี้ด้วยบริการของรถไฟในประเทศจากเมืองหลวงบรัสเซล ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมืองนี้จึงอาจเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่สามารถมาเยี่ยมเยียนแบบไปเช้าเย็นกลับจากกรุงบรัสเซลได้ แต่ถ้าอยากจะเห็นเมืองให้ถ้วนทั่ว อ้อยอิ่งกับบรรยากาศแห่งเมืองยุคกลางที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างดีที่สุดในเบลเยี่ยมอย่างเต็มที่ ชมตึกรามบ้านช่องสวยๆ ยามค่ำคืนที่มีการ light-up ส่องไฟเน้นแสงเงาและความงามอย่างอลังการของตัวตึก รวมถึงการช็อปปิ้งซื้อหา-ชิมรสช็อคโกแล็ตและของฝากอื่นๆอย่างจุใจแล้ว การพักค้างคืนในโรงแรมเล็กๆ สุดฮิปริมลำคลองในเมืองนี้อย่างน้อย 1-2 คืน เป็นเรื่องที่ขาดเสียไม่ได้และขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ฉันพยายามตรงดิ่งไปที่สำนักงานการท่องเที่ยวของเมืองที่ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟของเมืองเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินวนอยู่สองรอบเพราะหาสำนักงานเล็กๆ ที่อยู่มุมตึกด้านซ้ายมือสุด (ถ้าหันหน้าเข้าหาตัวตึก) ไม่เจอในรอบแรก อย่างไรก็ดี พนักงานที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสและให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษอย่างดี (ติดต่อขอแผนที่เส้นทาง Walking Routes ได้) ก่อนแนะนำให้ฉันขึ้นรถประจำทางที่หน้าสถานีไปลงที่ป้ายใกล้โรงแรมริมลำคลองที่ฉันจองไว้ทางอินเตอร์เน็ต ความจริงแล้วเมืองบรูจส์เป็นเมืองเล็กๆที่การเดินเท้าเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดในการชมเมือง รถเมล์ที่วิ่งทางเดียวเสียส่วนใหญ่เนื่องจากถนนแต่ละสายเล็กๆคับแคบคงความเก๋าของเมืองไว้ เป็นพาหนะหลักที่คนเมืองใช้ เนื่องจากแท็กซี่ราคาแพงหูฉี่ และรถม้าก็เป็นพาหนะสำหรับพานักท่องเที่ยวชมเมืองน่ารักๆแห่งนี้เท่านั้น ฉันเลือกที่จะจองโรงแรมในตึกทรงเก่าริมลำคลอง เพราะลำคลองถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองบรูจส์ จนเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น… Read More In Bruges