
หากใครได้เคยหาข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจอร์เจียมาบ้าง ภาพหนึ่งของแลนด์มาร์กที่น่าจะต้องเคยเห็นบ้างคงหนีไม่พ้นอาคารเก่าแก่เล็กๆ สองหลังของโบสถ์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาทุ่งหญ้าโล่งๆ ดูโดดเดี่ยวท่ามกลางเทือกเขามหึมาที่ซ้อนอยู่ด้านหลังอีกทีหนึ่ง ภาพที่ทำเอาหลายๆ คนปักหมุดสถานที่ที่ควรไปเยือนหากได้ไปจอร์เจียกันเลยทีเดียว โบสถ์เล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เกือบๆ ชายขอบจอร์เจียที่มีเทือกเขาคอเคซัสเป็นแนวพรมแดน ตั้งอยู่ห่างออกไปทางเหนือของเมืองหลวง Tbilisi (ทบิลิซี)ประมาณ 150 กว่ากิโลเมตร ตามถนนสายหลัก Georgian Military Highway (จอร์เจียนมิลิทารี่ไฮเวย์) ที่สามารถทะลุต่อไปยังประเทศรัสเซียได้ บทความสุดท้ายเกี่ยวกับประเทศจอร์เจียในครั้งนี้ ฉันขอพาไปรู้จักสถานที่ต่างๆ ตามถนนสายนี้กัน
ไม่ว่าจะขับรถเที่ยวเองหรือใช้บริการรถโดยสารหรือรถทัวร์ หากออกจากเมืองหลวงขึ้นไปทางเหนือบนเส้นทางสายนี้แล้ว จุดแรกที่ต้องแวะพักคงหนีไม่พ้น Ananuri Fortress (ป้อมปราการอานานุรี) โบราณสถานเก่าแก่กว่า 400 ปีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนืออ่างเก็บน้ำสีเทอร์ควอยซ์ Zhinvali (ซินวาลิ) ที่นี่สร้างขึ้นมาครั้งแรกให้เป็นทั้งปราสาทและป้อมปราการของ Dukes of Aragvi (ดรุคแห่งอารักวี) ซึ่งปกครองดินแดนแถบนี้ในสมัยก่อน เคยผ่านการรบมาหลายสนาม จนโดนข้าศึกเผาทำลายเอาเมื่อปี ค.ศ. 1739 ส่วนตำนานที่มาของชื่อนั้น เล่ากันต่อมาว่าในช่วงที่ปราสาทกำลังถูกข้าศึกล้อมไว้นั้น คนในปราสาทสามารถต่อสู้อยู่ได้อย่างทรหดเพราะที่นี่มีอุโมงค์ลับที่สามารถส่งข้าวส่งน้ำผ่านเข้าไปให้คนข้างในได้ จนท้ายที่สุดข้าศึกจับหญิงสาวที่ชื่อ Ana จากเมือง Nuri ไว้ได้และบังคับขู่เข็ญให้บอกว่าอุโมงค์ลับนั้นอยู่ที่ไหน แต่หญิงสาวเลือกที่จะยอมสละชีวิตแทนที่จะขายความลับ สถานที่แห่งนี้ต่อมาจึงรู้จักกันในนามว่า Ananuri อย่างไรก็ดี ตัวป้อมปราการในปัจจุบันกลายเป็นซากปรักหักพังเสียส่วนใหญ่ โดยมีหอคอยสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่และกำแพงหลงเหลืออยู่ให้เห็น ในขณะที่สิ่งก่อสร้างที่ดูสมบูรณ์และเด่นกว่าที่ซ้อนอยู่บนซากปรักหักพังก็คือโบสถ์ 2 แห่ง โดยโบสถ์ที่เก่ากว่าเรียกว่า “Church of Virgin” อยู่ติดกับหอคอยและเป็นที่ตั้งของหลุมศพของเหล่า Dukes of Aragvi กับอีกโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าที่ยังคงมีภาพเขียนสีหลงเหลืออยู่ให้เห็น บริเวณรอบๆ โบราณสถานแห่งนี้มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและห้องน้ำให้เข้า ถือเป็นจุดพักระหว่างทางอย่างดีก่อนที่เส้นทางจะเริ่มคดเคี้ยวขึ้นสู่ที่สูงต่อไป

หลังจากขับรถไปตามเส้นทางที่ส่วนใหญ่จะเลาะไปตามแม่น้ำสักประมาณหนึ่งชั่วโมง จะเริ่มเข้าสู่บริเวณที่เป็นเส้นทางลาดชันคดเคี้ยวหักศอกไต่ขึ้นเขาสูง นั่นหมายถึงการเข้าใกล้เมือง Gudauri (กุเดารี) แล้ว ที่นี่เป็นเมืองแห่งสกีรีสอร์ท เพราะตั้งอยู่บนที่ราบสูงแห่งเทือกเขาคอเคซัสที่มีความสูงถึง 2,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นอกจากจะเป็นแหล่งสกีชื่อดังของประเทศแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ที่คนนิยมมาเล่น Paragliding กันด้วย ในช่วงที่ฉันผ่านไปนั้น เป็นช่วงที่ฤดูใบไม้ร่วง ยังไม่เข้าฤดูหนาว จึงเห็นเป็นภูเขาทุ่งหญ้าโล้นๆแห้งๆ สุดลูกหูลูกตา สีของภูเขาสูงที่ยังไม่มีหิมะปกคลุมมีสีสันของชั้นดินและหินที่สวยงามแปลกตาไม่น้อยเลยทีเดียว หากไม่ได้จะมาพักรีสอร์ทเพื่อเล่นสกีหรือทำกิจกรรมที่นี่ จุดแวะถ่ายรูปคงหนีไม่พ้นบริเวณที่เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์แห่งมิตรภาพระหว่างรัสเซียและจอร์เจีย (Russian Georgian Friendship Monument) ที่สร้างเป็นแท่งทรงโค้งขนาดใหญ่ประดับโมเสอิคเป็นรูปและเรื่องราวแห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศ อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยสหภาพโซเวียตเมื่อปี ค.ศ. 1983 ในวาระครบรอบ 200 ปีแห่งสนธิสัญญาระหว่างจอร์เจียตะวันออกและรัสเซีย (Treaty of Georgievsk) ที่ทำขึ้นในปี ค.ศ. 1783 ว่าแม้ว่าในความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ รัสเซียไม่ได้ช่วยปกป้องจอร์เจียเอาไว้จากการรุกรานของชนชาติอื่นตามที่เซ็นในสนธิสัญญานี้ก็ตาม




นอกจากอนุสาวรีย์แห่งนี้แล้ว มีจุดจอดรถโล่งๆ ตามถนนคดโค้งนี้อีกแห่งหนึ่งไม่ไกลกันนัก ไม่ได้มีป้ายบอกอะไรมาก แต่เป็นที่รู้กันว่า จุดนี้คือถนนที่สูงที่สุดในเส้นทางสายนี้ เพราะตัดผ่าน Jvari Pass (จวารีพาส) ที่ความสูง 2,400 เมตร
หลังจากผ่านช่องเขาตรงนี้ ถนนก็จะเริ่มลดระดับลงสู่หมู่บ้านจุดหมายปลายทางอันเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Landmark อันขึ้นชื่อ นั่นคือหมู่บ้าน Stepantsminda (สเตปันท์สมินดา) ที่ตั้งชื่อตามนักบวชคริสต์ออโธด็อกส์ชื่อ “Stephan” หมู่บ้านนี้เดิมชื่อ Kazbegi (กัสเบกิ) เหมือนชื่อภูเขาสูงอันดับสามของจอร์เจียที่ตั้งเด่นเป็นสง่าให้ใครต่อใครที่มาเมืองนี้ได้ชื่นชมได้ทั้งเช้า กลางวัน เย็น และค่ำคืน อันมีชื่อว่า Mt. Kazbek (ภูเขากัสเบค) หรือ Mt. Kazbegi นั่นเอง






หมู่บ้าน Stepantsminda (Kazbegi) ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ความสูงประมาณ 1,750 เมตร ห้อมล้อมด้วยเทือกเขาสูงแห่งคอเคซัส มีแม่น้ำ Terek (เทเร็ก) ไหลผ่าน มียอดเขา Kazbek ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ (ความสูง 5,034 เมตร) หนึ่งในสิบยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งเทือกเขาคอเคซัส ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังอยู่เหนือหมู่บ้าน ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนก็มองเห็น เมืองนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเพราะความสวยงามของ Mt. Kazbek นี่เอง จากหมู่บ้านมองไปทางยอดเขา จะเห็นเนินเล็กๆที่ความสูงประมาณสองพันกว่าเมตร ที่มีโบสถ์เล็กๆ อันเป็น landmark ของที่นี่ที่ฉันกล่าวถึงในตอนแรกตั้งอยู่ โบสถ์แห่งนี้มีชื่อว่า Gergeti Trinity Church (เกอร์เกติ ทรินิตี้ เชิร์ช) หรือชื่อพื้นเมืองว่า Tsminda Sameba (ทซึมินดา ซาเมบา) สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 เนื่องจากตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน หากเป็นสมัยก่อนก็ต้องเดินเทรคกันขึ้นไปประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่เนื่องจากความบูมเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศก่อนหน้าที่จะมีโควิด จึงมีการสร้างถนนราดยางอย่างดีให้ขึ้นไปถึงได้โดยง่าย (สร้างเมื่อปี ค.ศ. 2018) การเดินเที่ยวชมตัวโบสถ์ที่เป็นโบราณสถานก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าอยากได้ภาพสวยๆของโบสถ์กับฉากหลัง ฉันขอแนะนำให้เดินอ้อมโบสถ์ลงไปตามทางเดินด้านล่าง (จะเห็นโบสถ์กับ Mt. Kazbek) หรือไม่ก็จอดรถที่ลานจอดรถขนาดใหญ่ก่อนถึงตัวโบสถ์ (จะเห็นโบสถ์กับเทือกเขาที่เห็นเป็นแท่งหินขนาดมหึมา) ซึ่งจะได้ความงามกันคนละมุม จากโบสถ์แห่งนี้ จะมีเส้นทางเทรคกิ้งไปธารน้ำแข็ง Kazbek ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง


ฉันใช้เวลาอยู่ที่นี่สามวันสองคืนเพื่อชื่นชมความงามของ Mt. Kazbek และบริเวณโดยรอบ ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาก ไม่ว่าจะตื่นมาชมแต่เช้าตรู่ หรือยามเย็น หรือยามไหนๆก็ตาม (ดูรูปภูเขาในช่วงเวลาต่างๆของวันประกอบ) ตามข้อมูลที่หาได้ ยอดเขา Kazbek แห่งนี้เป็นยอดเขาภูเขาไฟ (ยังไม่ดับสนิท) ที่สูงเป็นอันดับสองของเทือกเขาคอเคซัส (ถ้านับทุกยอด จะสูงเป็นอันดับเจ็ด) นอกจากการชื่นชมเทือกเขา ชมโบสถ์ เดินชมหมู่บ้านที่มีร้านค้า ร้านอาหารที่คึกคักเพราะนักท่องเที่ยวแล้ว จากหมู่บ้านนี้ไปไม่ถึง 20 กิโลเมตรจะถึงชายแดนจอร์เจียและรัสเซีย (เมือง Vladikavkaz) ซึ่งไม่ใช่ชายแดนที่ถนนตัดข้ามเขา แต่เป็นการเจาะอุโมงค์ลอดพรมแดนธรรมชาติแห่งเทือกเขาคอเคซัสแทน เรียกว่าขับมุดถ้ำจากประเทศหนึ่งออกไปเจออีกประเทศหนึ่ง (หากขับรถมาเองสามารถขับไปถึงชายแดนได้ แต่ถนนจะค่อนข้างแคบและคดโค้ง ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง)



บนถนนเส้นทางสายหลัก ก่อนเข้าหมู่บ้านนี้ประมาณ 4 กิโลเมตร จะมีถนนสายเล็กๆ เลี้ยวแยกไปยังหุบเขา Sno (สโน) ที่มีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางสายน้ำเล็กๆ และเทือกเขาขนาดมหึมา มีหอคอยเก่าแก่ไม่ใหญ่ไม่โตตั้งอยู่ หมู่บ้านเล็กๆ ดูเงียบสงบ มีควันลอยจากหลังคาบ้านกรุ่นๆ เห็นหมู่บ้าน Sno แห่งนี้แล้วนึกถึงหมู่บ้านในนิทานเรื่องไหนสักเรื่องเลยทีเดียว ใกล้ๆ หมู่บ้านจะมีลานหญ้าขนาดใหญ่ มีหินที่สลักเป็นหน้าคนขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่สองข้างถนน ซึ่งเป็นผลงานของ Merab Piranishvili (เมอรับ พิรานิชวิลี) ศิลปินที่เกิดในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ และเริ่มงานแกะสลักหินแกรนิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 โดยแกะเป็นรูปหน้าตาของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่สร้างชาติจอร์เจียขึ้นมา เขาได้กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่งว่า “หากคุณยืนอยู่ท่ามกลางหินสลักเหล่านี้ คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณได้ยินเสียงพูดคุยกัน และคุณก็จะเชื่อว่าเขาเหล่านี้กำลังพูดคุยกันอยู่”


เลยจากหมู่บ้านนี้ไปถนนจะลัดเลาะภูเขาและหน้าผาไปจนถึงหมู่บ้าน Juta (จูตะ) หมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 2,200 เมตร หมู่บ้านนี้เป็นถิ่นอาศัยของชาวพื้นเมืองดั้งเดิมชนเผ่าหนึ่งของดินแดนแถบนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเทรคกิ้งไปตามเส้นทางต่างๆ ที่มีอยู่เป็นสิบเส้นทางเพื่อชื่นชมความงามของเทือกเขาและทุ่งหญ้าอัลไพน์ในช่วงต่างๆ ยกเว้นในฤดูหนาว เนื่องจากเส้นทางจะมีหิมะตกหนักและไม่สามารถเข้าถึงได้ ฉันได้ขับรถไปถึงหมู่บ้านนี้และได้เดินตามเส้นทางสั้นๆ ขึ้นเขาไปเพื่อไปชมความงามของเทือกเขา Chaukhi (เชาคี) แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี เนื่องจากมีเวลาเพียงน้อยนิด และไม่ได้ติดต่อหรือเตรียมตัวมาเทรคกิ้งจริงๆจังๆ เมื่อเดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านค่อยๆขึ้นเนินสูงไปเรื่อยๆ (ช่วงที่ไปจะเห็นเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ) จนพ้นเนินก็ได้เห็นความงามของแท่งหินมหึมาแห่งเทือกเขา Chaukhi ที่หลายคนเรียกกันว่าเป็น Georgian Dolomites (จอร์เจียนโดโลไมท์ส) เนื่องจากมีลักษณะกายภาพคล้ายคลึงกับเทือกเขาหินปูน Dolomites อันลือชื่อของอิตาลีนั่นเอง

ด้วยเวลาอันจำกัด ฉันร่ำลาขุนเขาอันแสนสง่าและสูงส่งแห่งเทือกเขาคอเคซัสแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย โดยขอรับพลังมหัศจรรย์แห่งขุนเขาเข้ามาไว้ในตัวด้วย ก่อนที่จะหันหลังขึ้นรถเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงของจอร์เจียเพื่อเดินทางกลับบ้าน ผู้ร่วมเดินทางในทริปนี้กับฉันทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากกลับมาที่ประเทศนี้อีกครั้งและสัญญากันว่าจะต้องกลับมาให้ได้อีกสักครั้ง
…คราวหน้าฉันว่าจะมาเดินเทรคกิ้งขึ้นเขา…
แนะนำอาหารจอร์เจีย


ผู้เขียนกับแม่ค้าร้านขายของชำเล็กๆในเมือง Kazbek




