In Bruges

This slideshow requires JavaScript.

ที่นี่ไปมาเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เช่นเดิม เอาบทความมาจากที่ตีพิมพ์ไปแล้ว ดูรูปใน album photo ประกอบนะจ๊ะ…ขอแนะนำจริงๆว่า ถ้ามีโอกาส ไปเถอะ…เมืองนี้…สวยจริง เจ๋งจริง…เริ่มเดินทางกันเลยคร๊าบ…

ฉันขอออกตัวล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่า ชื่อเรื่องในครั้งนี้ ลอกเลียนมาจากภาพยนตร์ตลกเสียดสีสังคมอย่างร้ายกาจ ที่วางฉากเกือบทั้งเรื่องไว้ในเมืองอันแสนโรแมนติคอย่างเมืองบรูจส์ ในประเทศเล็กๆของยุโรปอย่างเบลเยี่ยม เอ่ยถึงชื่อเมืองนี้ อาจไม่เป็นที่รู้จักของใครหลายๆคน แต่สำหรับคนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเมืองนี้แล้ว ฉันเชื่อเหลือเกินว่า เมืองบรูจส์คงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายๆคนเลยทีเดียว

ฉันเดินทางไปถึงเมืองมรดกโลกแห่งนี้ด้วยบริการของรถไฟในประเทศจากเมืองหลวงบรัสเซล ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมืองนี้จึงอาจเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่สามารถมาเยี่ยมเยียนแบบไปเช้าเย็นกลับจากกรุงบรัสเซลได้ แต่ถ้าอยากจะเห็นเมืองให้ถ้วนทั่ว อ้อยอิ่งกับบรรยากาศแห่งเมืองยุคกลางที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างดีที่สุดในเบลเยี่ยมอย่างเต็มที่ ชมตึกรามบ้านช่องสวยๆ ยามค่ำคืนที่มีการ light-up ส่องไฟเน้นแสงเงาและความงามอย่างอลังการของตัวตึก รวมถึงการช็อปปิ้งซื้อหา-ชิมรสช็อคโกแล็ตและของฝากอื่นๆอย่างจุใจแล้ว การพักค้างคืนในโรงแรมเล็กๆ สุดฮิปริมลำคลองในเมืองนี้อย่างน้อย 1-2 คืน เป็นเรื่องที่ขาดเสียไม่ได้และขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง

ฉันพยายามตรงดิ่งไปที่สำนักงานการท่องเที่ยวของเมืองที่ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟของเมืองเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินวนอยู่สองรอบเพราะหาสำนักงานเล็กๆ ที่อยู่มุมตึกด้านซ้ายมือสุด (ถ้าหันหน้าเข้าหาตัวตึก) ไม่เจอในรอบแรก อย่างไรก็ดี พนักงานที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสและให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษอย่างดี (ติดต่อขอแผนที่เส้นทาง Walking Routes ได้) ก่อนแนะนำให้ฉันขึ้นรถประจำทางที่หน้าสถานีไปลงที่ป้ายใกล้โรงแรมริมลำคลองที่ฉันจองไว้ทางอินเตอร์เน็ต ความจริงแล้วเมืองบรูจส์เป็นเมืองเล็กๆที่การเดินเท้าเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดในการชมเมือง รถเมล์ที่วิ่งทางเดียวเสียส่วนใหญ่เนื่องจากถนนแต่ละสายเล็กๆคับแคบคงความเก๋าของเมืองไว้ เป็นพาหนะหลักที่คนเมืองใช้ เนื่องจากแท็กซี่ราคาแพงหูฉี่ และรถม้าก็เป็นพาหนะสำหรับพานักท่องเที่ยวชมเมืองน่ารักๆแห่งนี้เท่านั้น

ฉันเลือกที่จะจองโรงแรมในตึกทรงเก่าริมลำคลอง เพราะลำคลองถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองบรูจส์ จนเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น “Venice of the North” ของยุโรป อย่างไรก็ดีแม้ว่าเมืองบรูจส์จะไม่ได้อยู่ติดทะเลโดยตรงในปัจจุบัน อย่างเมืองเวนิซ แต่เมืองแห่งนี้ก็เคยถูกน้ำทะเลท่วมเข้ามาถึงในอดีต จนกระทั่งเกิดตะกอนสะสมเป็นแผ่นดิน เหลือเพียงทางน้ำหลายแห่ง และลำคลองในบริเวณนี้ก็ถูกใช้ ขุดเพิ่ม ต่อเติมเพื่อใช้ในการขนถ่ายสินค้าที่มาจากทะเลเข้ามาทางแม่น้ำ “Reie” มายังใจกลางชุมชนตั้งแต่ในอดีต นอกจากจะเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญในสมัยคริสตศตวรรษที่ 13 แล้วในประวัติศาสตร์ของเมืองเองก็มีบันทึกการมาถึงของพวกไวกิ้งตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 9 ด้วย แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีเรือสินค้าใดๆ ผ่านเข้ามาในลำคลองเส้นเล็กเส้นน้อยในเมือง แต่ก็ยังมีเรือท่องเที่ยวผ่านไปมา เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของตึกรามเก่าแก่ และซอกเล็กซอกน้อยของเมืองได้ ว่ากันว่ามีเพียงห้าครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาติให้ประกอบธุรกิจล่องเรือชมความงามของตัวเมืองตามลำคลองนี้ และแต่ละครอบครัวมีเรือในครอบครองแค่เพียงสี่ลำเท่านั้น อย่างไรก็ดี ฉันหมดโอกาสที่จะชื่นชมความงามจากลำคลองอย่างที่ควรจะเป็น เพราะในช่วงปีใหม่ที่ฉันไปเยี่ยมเยือนนั้น ผิวน้ำที่คลองส่วนใหญ่กลายเป็นน้ำแข็ง และเรือล่องลำน้อยหยุดให้บริการ การเดินเท้าชมเมืองจึงเป็นหนทางเดียวที่จะซึบซับความงามของเมืองได้อย่างเต็มที่

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยได้ห้องเห็นวิวคูคลองอันลือชื่อแห่งเมืองบรูจส์ ฉันเริ่มเดินสำรวจเมือง โดยเริ่มจากการเดินเลาะลำคลองที่ถือเป็นสายหลักของเมืองที่ชื่อว่า Djiver ชมตึกเก่าไปตามถนนที่ส่วนใหญ่ปูลาดด้วยหินก้อนๆ (Cobbled Road) คงความขลังของเมืองในยุคกลางได้เป็นอย่างดี ตัวตึกสร้างด้วยหินเป็นหลัก ทรงสูง หลังคาหน้าจั่ว มีปล่องไฟและมุขช่องหน้าต่างที่ห้องใต้หลังคาเป็นสัญญลักษณ์ ระหว่างทางเจอนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ เดินถือแผนที่เที่ยวชมแบบเดียวกับที่ฉันทำอยู่ตลอดทาง จุดถ่ายรูปยอดฮิต นอกจากจะเป็นตามโค้งสะพานข้ามลำคลองต่างๆแล้ว คงหนีไม่พ้น บริเวณตึกเก่าของแท้สมัยศตวรรษที่ 12 อย่างตึกโรงพยาบาลเก่าที่เปิดให้การรักษาพยาบาลมาจนถึงปี ค.ศ. 1976 ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของเก่าแก่ที่เคยใช้ในโรงพยาบาลและภาพวาดของศิลปินชาวเฟลมิช (เบลเยี่ยม) Hans Memling ไปแล้ว แต่ถ้าอยากชมข้าวของเครื่องใช้ของชนชั้นกลางสมัยก่อนแล้ว ฉันแนะนำให้แวะเข้าไปชมตึกเก่าของพิพิธภัณฑ์ Gruuthuse สมัยศตวรรษที่ 15 ที่จัดแสดงวัตถุต่างๆตั้งแต่พรมทอเป็นเรื่องราวเหมือนภาพเขียน (Tapestry) อันลือชื่อของเบลเยี่ยม เครื่องเงิน เซรามิค ผ้าถักลูกไม้ (อีกหนึ่งของขึ้นชื่อ) เครื่องใช้ต่างๆ ภายในตัวตึกเก่าที่ตกแต่งสไตล์โกธิคแห่งนี้ มีส่วนที่เป็นโรงสวดเล็กๆที่ชั้นบนที่มองทะลุไปเห็นภายในของโบสถ์หลังใหญ่ของเมืองที่ตั้งอยู่ติดกันอันได้แก่ The Church of Our Lady (Onze Lieve Vrouwekerk) โบสถ์ที่ว่ากันว่าใช้เวลาสร้างถึง 200 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1220 เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการสร้างยาวนานแบบนี้ สถาปัตยกรรมของโบสถ์เลยมีหลากหลายสไตล์แล้วแต่ว่าส่วนไหนจะสร้างในยุคศิลปะแบบไหนเฟื่องฟู หอคอยที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นอาคารก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมืองคือสูงประมาณ 120 เมตร การเข้าชมโบสถ์ไม่ต้องเสียเงิน แต่หางตั๋วจากการชมพิพิธภัณฑ์ก่อนหน้านี้ สามารถนำมาเข้าชมภาพวาดและของล้ำค่าต่างๆที่จัดแสดงแยกส่วนต่างหากภายในโบสถ์หลังนี้ได้…อย่างไรก็ดี สิ่งที่ถือเป็นงานชิ้นเอกของที่นี่ก็คือ รูปสลักหินอ่อน Madonna and Child (1504-5) ผลงานของศิลปินเอกของโลกอย่างมิเคลแองเจลโลนั่นเอง กล่าวกันว่ารูปแกะสลักนี้ เป็นเพียงผลงานชิ้นเดียวที่พ่อค้าชาวเฟลมิชนำออกมานอกอิตาลีในขณะที่ตัวมิเคลแองเจลโลเองยังมีชีวิตอยู่

จุดหมายที่พลาดไม่ได้ในการเยี่ยมเยียนเมืองนี้คือบริเวณลานจตุรัสกลางเมืองที่เรียกกันว่า The Markt หรือ Market Square ลานกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นเหมือนตลาดนัดของชุมชนมาร่วมพันปีแล้ว ปกติจะมีตลาดนัดทุกวันเสาร์แต่เนื่องจากช่วงที่ฉันไปเป็นช่วงเทศกาลทั้งคริสต์มาสต่อปีใหม่ ก็เลยมีตลาดนัดกันทุกวัน รวมถึงลานสเก็ตให้วิ่งเล่นอีกด้วย มุมถ่ายรูปสุดฮิตคงหนีไม่พ้นอาคารเก่าหน้าจั่วสีแดงส้มสดใส เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงสี่ห้าร้อยปีที่แล้ว บ้านหลังหนึ่งบริเวณนี้ยังเคยเป็นที่ลี้ภัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ของอังกฤษในช่วงปี ค.ศ. 1656-7 อีกด้วย ตึกรอบๆลานแห่งนี้เปิดเป็นภัตตาคารร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ที่มีคนเข้าออกอย่างคึกคักตลอดเวลา ที่ด้านหนึ่งของลานยังเป็นที่ตั้งของหอระฆัง (Belfort) ที่คุณเคนในเรื่อง In Bruges กระโดดตึกฆ่าตัวตายลงมาที่ลานนี้แหละ เนื่องจากได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อนไปเที่ยว ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องขอขึ้นไปชมความงามของเมืองจากยอดหอระฆังอันลือชื่อ ที่ถือเป็นแลนมาร์คของเมืองแห่งนี้บ้าง ทั้งๆที่รู้ดีว่า ทางขึ้นเป็นบันไดเดินวนไปเรื่อยๆ และแคบลงเรื่อยๆ ขนาดที่เดินสวนกันยังไม่ได้ (ต้องให้คนใดคนหนึ่งหลบข้างๆ ทำตัวลีบๆให้) มีคนต่อแถวจะขึ้นหอระฆังที่สูง 83 เมตรนี้จนล้นออกมานอกตัวอาคาร ถ้าไม่ต่อคิวก็คงไม่ได้ขึ้น รออยู่เกือบๆชั่วโมง ถึงได้เวลาฉันขึ้นชมบ้าง บันไดวนมีจุดให้หยุดเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ และตัวลานจักรกลของระฆังบ้างเป็นระยะๆ ซึ่งใช้พักเหนื่อย และหลบการจราจรได้อย่างดี ชุดระฆังโลหะที่มีทั้งหมด 47 อันทั้งใหญ่และเล็ก รวมน้ำหนักได้กว่า 27 ตันนี้ มีระบบการสั่นต่อเนื่องกันเหมือนลานกล่องดนตรีขนาดใหญ่ที่ถือว่าดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ว่ากันว่ามีการจ้างนักเล่นระฆังชุดมาลั่นระฆังที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1604 นู่น การได้ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองจากบนยอดหอระฆังเก่าแก่กว่า 600-800 ปีที่เคยใช้เป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าของเมืองแห่งนี้ พร้อมได้ยินเสียงระฆังสั่นกังวานเป็นท่วงทำนองเพลงอยู่บนศีรษะ สร้างบรรยากาศเข้าถึงได้เป็นอย่างดี ฉันสงสัยแต่ว่า ทำไมถึงได้มีลูกกรงเหล็กอยู่รอบด้านตรงจุดที่ชมวิวได้ ทั้งๆที่ในหนังไม่เห็นมีเลย หรือว่าเขากลัวคนจะมาโดดตึกฆ่าตัวตายแบบคุณเคนในหนังก็ไม่ทราบได้…

หลังจากผ่านการทรมานตัวเองเดินขึ้นยอดหอ ฉันอ้อยอิ่งดื่มไวน์ร้อนๆ (Grühwein)ที่ขายอยู่ตามแผงลอยกลางลานตลาดนัดแห่งนี้เพื่อเป็นการพักไปในตัว ก่อนออกเดินผ่านร้านค้าช็อคโกแล็ต ของที่ระลึก พรมทอ ผ้าลูกไม้ และอื่นๆที่เรียงรายอยู่ระหว่างทาง เพื่อไปชมลานสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ลานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของตัว Town Hall (Stadhuis) ที่ตัวตึกช่างตกแต่งได้อย่างอลังการงานสร้างสมเป็นผลงานยุคโกธิคจริงๆ แม้ฉันจะไม่ได้เข้าไปเดินเข้าไปชมภายในที่ว่ากันว่าอลังการยิ่งกว่าภายนอก ด้วยเวลาอันจำกัด แต่การได้กลับมาชื่นชมตัวตึกอีกครั้งในช่วงมืดค่ำที่มีการส่องไฟไลท์อัพสร้างแสงเงาของตัวตึก ก็น่าตื่นตาตื่นได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว ข้างๆตึกอลังการนี้ เป็นที่ตั้งของ The Basilica of Holy Blood (Heilig Bloed Basiliek) อันศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์เล็กๆแห่งนี้มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องเรียบๆง่ายๆ มืดๆมีแท่งบูชาและรูปจำลองศพพระเยซูอยู่ แต่ชั้นบนที่ตกแต่งอย่างสว่างสดใสสีสันจัดจ้าน (แต่ห้ามถ่ายรูป) นั้น เป็นที่ประดิษฐานของขวดศักดิ์สิทธิ์ที่ตำนานเล่าว่าบรรจุหยดเลือดของพระเยซูของจริงเอาไว้ ซึ่งได้ถูกนำมาจากกรุงเยรูซาเลมมาไว้ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1150 เลยทีเดียว…(พอมาถึงที่นี่ ฉันเลยจับผิดหนังเรื่อง In Bruges ได้อีกเรื่องคือตอนที่ตัวละครในเรื่องกล่าวถึงตำนานตอนนี้ เขาไม่ได้ถ่ายที่โบสถ์นี้จริงๆ แต่ไปถ่ายที่โบสถ์ยิว Jerusalem Church ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองต่างหาก ที่นั่นมีแท่นบูชาที่ทำเป็นรูปหัวกระโหลกที่ทำให้ฉันจำได้ขึ้นใจ)

ระหว่างที่เดินชมเมืองนั้น หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับรถม้าคันใหญ่โตที่พานักท่องเที่ยวชมเมืองพร้อมคนขับรถม้าที่จากการเลียบๆเคียงๆแอบฟังดู เห็นพูดได้อย่างต่ำคนละ 4-5 ภาษาของยุโรป เลยทีเดียว สถานที่ต่อคิวขึ้นรถม้าคือบริเวณลานจตุรัส The Markt และลานรถม้าก่อนถึงสวนสาธารณะ Minnewater สวนสาธารณะสุดแสนโรแมนติค ที่มีสระน้ำที่เต็มไปด้วยนกน้ำ เป็ดต่างๆและที่ขาดไม่ได้คือหงส์ อันเป็นสัญญลักษณ์ของเมือง และบ้านเก่าๆยุคกลางอยู่เป็นหย่อมๆ สร้างความโรแมนติคขึ้นได้อีกอักโข

บรูจส์ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ฉันยังไม่ได้กล่าวถึง เนื่องจากเนื้อที่อันจำกัด อย่างไรก็ดี หากมีเวลาพอ ฉันขอแนะนำให้ไปเดินทางชมเมืองทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ซึ่งจะเงียบสงบกว่าเขตพลุกพล่านของนักท่องเที่ยวตรงกลางเมือง แต่มีโอกาสได้เห็นอาคารเก่าสวยๆ ในรูปแบบสภาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไป อย่างโบสถ์ยิวที่กล่าวถึงข้างต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงโบสถ์แบบอังกฤษ อาคารเก่ากว่า 4-500 ปีที่สร้างให้คนยากจนได้อยู่อาศัยอยู่ที่เรียกว่า Armshouse รวมไปถึงแหล่งผลิตหัตถกรรมขึ้นชื่ออย่างผ้าลูกไม้ ถ้าเดินไปจนถึงคูรอบเมืองเก่า ก็จะมีโอกาสได้เห็นกังหันลมเก่าแก่ตั้งตระหง่านอย่างสวยงามบนเนิน กังหันต้นฉบับดั้งเดิมของเมืองย้อนยุคไปได้ถึงร้อยกว่าปีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีตัวประตูเมืองเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นร่องรอยของกำแพงเมืองเดิมที่ได้ถูกทำลายไปหมดแล้วตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ฉันเกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นเลยว่าเวลาเพียงวันเดียวเช้าไปเย็นกลับนั้น ไม่มีทางเพียงพอสำหรับเมืองเล็กๆ อันสวยงามน่ารัก เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความเป็นมาแทบทุกมุมเมืองดั่งเช่นเมืองบรูจส์แห่งนี้ ก่อนจากลาฉันนึกไปถึงคำพูดของนายแฮร์รี่จากหนังเรื่องเดียวกันกับชื่อเรื่องที่ว่า “I want to see Bruges again before I die” และคงเป็นเหตุผลเดียวกันที่เขาส่งลูกน้องสองคนมาที่เมืองนี้ เพื่อให้ได้เห็นสิ่งสวยๆงามๆของเมืองนี้ก่อนที่จะออกคำสั่งให้คนหนึ่งฆ่าอีกคนหนึ่งให้ตายใน In Bruges

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s