Konomiya Hadaka Matsuri (Naked Festival at Konomiya Shrine)

ห่างหายจากญี่ปุ่นกันไปนาน ตอนนี้ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศรับท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรมากมายแล้ว ค่าเงินเยนก็ถูกลงมาอีก เลยถือโอกาสเล่าถึงงานเทศกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจแต่อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวไทยเท่าไรนัก เผื่อใครมีโอกาสจะได้จับจองตั๋วบินไปดูของจริงกันได้ งานเทศกาลที่จะกล่าวถึงนี้ ถ้าแปลตรงตัวก็ต้องบอกว่าเป็นเทศกาลเปลือยกายที่ภาษาญี่ปุ่นใช้ว่า Hadaka Matsuri (ฮาดากะมัตซึริ) แปลเป็นอังกฤษก็คือ Naked Festival นั่นเอง ที่บอกว่าเปลือยกายนั้น จริงๆแล้วคือเหล่าชายชาวญี่ปุ่นที่เข้าร่วมพิธีกรรมจะนุ่งเพียง Fundoshi (ฟุนโดชิ-แถบผ้าขาวที่นำมานุ่งคล้ายผ้าเตี่ยวแล้วพันรอบเอวในสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น) เท่านั้น ไม่ว่าอากาศจะหนาวเหน็บขนาดไหน จริงๆแล้วเทศกาลของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Hadaka Matsuri นี้มีจัดอยู่หลายเมือง แต่พิธีกรรมจะแตกต่างกันตามแต่ละเมืองที่จัดขึ้นในต่างวาระและต่างเวลากันไป แต่ที่จะขอกล่าวถึงในที่นี้คืองานเทศกาลที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในงานพิธีกรรมแบบชินโตที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งสืบทอดต่อกันมามากกว่า 1,200 ปี จัดขึ้นที่ศาลเจ้า Konomiya (โคโนมิยะ) หรือชื่อเต็มๆ ว่าศาลเจ้า Owari Okunitama (โอวาริ โอคุนิทามะ) ในเมือง Inazawa (อินาซาวะ) ไม่ไกลจากเมือง Nagoya (นาโกย่า) ในจังหวัด Aichi (ไอชิ) เท่าไรนัก

โดยปกติวันงานเทศกาลหลักที่ผู้คนมารวมตัวกันมากที่สุดของ Konomiya Hadaka Matsuri ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Naoi Shinji (นาโออิชินจิ) นั้นจะตรงกับวันที่ 13 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติของญี่ปุ่น ดังนั้นในแต่ละปีจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคมหรือในเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินสากล ซึ่งทางศาลเจ้าจะประกาศอย่างเป็นทางการเอาไว้ให้ล่วงหน้า โดยในส่วนของการเตรียมงานก่อนถึงวันจริงจะมีมาก่อนเป็นสิบวัน เริ่มจากพิธีการลงเสาหลักประกาศวันงานที่หน้าศาลเจ้า พิธีคัดเลือกหนึ่งชายฉกรรจ์ที่สมัครใจเข้ามาเป็นผู้รับเคราะห์หรือ Shin-Otoko (ชินโอโตโกะ) ชายผู้มีหน้าที่ในการแบกรับและปัดเป่าความโชคร้ายทั้งหมดทั้งมวลของผู้คน พิธีกรรมการล้างข้าวเพื่อเอามาทำโมจิยักษ์หนัก 4 ตัน พิธีตำข้าวเป็นแป้งเพื่อทำโมจิยักษ์ พิธีที่ Shin-Otoko ที่เพิ่งได้รับเลือกปวารณาตัวเข้ามาถือศีล กินอยู่ และปัดเป่าทุกข์โศกโชคร้ายให้ผู้ที่มานมัสการภายในศาลเจ้าเป็นเวลา 3-4 วันโดยที่เจ้าตัวต้องโกนผม โกนคิ้ว สวดมนต์ ถือศีล ห้ามยิ้มห้ามคุยจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของงาน พิธีทำโมจิดำ พิธีตกแต่งโมจิยักษ์ พิธีแห่ถวายโมจิยักษ์ไปที่ศาลเจ้าก่อนวันงานหลัก และพิธีอัญเชิญและบวงสรวงเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์มาปัดเป่าความชั่วร้ายและนำมาซึ่งความสงบสุขในตอนกลางคืนที่เพิงศักดิ์สิทธิ์ภายในอาณาบริเวณของศาลเจ้าในคืนก่อนหน้าวันหลัก หลังจากงานวันหลักผ่านไปแล้ว ก็ยังมีพิธีกรรมอื่นๆ เช่นการเนรเทศชายผู้รับเคราะห์ การตัดแบ่งโมจิยักษ์เพื่อความเป็นสิริมงคล พิธียิงธนูบวงสรวงเทพเจ้า และพิธีดื่มน้ำชาในศาลเจ้า เป็นอันจบช่วงเวลาของงานเทศกาลนี้อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี หลายๆ พิธีการในวันก่อนหน้าและหลังวันงานนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพราะจะจัดกันเป็นการภายในเท่านั้น

            ดังนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงในส่วนที่ผู้เขียนได้ไปเข้าร่วมงานและเห็นมากับตาตัวเอง คือตั้งแต่วันที่ Shin-Otoko ในชุดสูทเต็มยศเดินขบวนร่วมกับอดีต Shin-Otoko ในปีก่อนๆหน้า ผ่านประตูศาลเจ้าและเข้าไปกินอยู่ ถือศีลในศาลเจ้า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็จะเป็นช่วงที่หมู่บ้านหรืออำเภอ สมาคมฯ ต่างๆ ทำ Kagami-Mochi (คากามิโมจิ) โดยนำแป้งมาทำเป็นก้อนโมจิขนาดใหญ่สองชั้น ตกแต่งยอดด้วย Dai-Dai (ชื่อเรียกส้มชนิดหนึ่งแต่การออกเสียงคล้องจองกับศัพท์อีกคำที่มีความหมายถึงการสืบทอดตระกูล) มีการประดับประดาด้วยลูกพลับแห้ง (โชคลาภ) สาหร่ายคอมบุ (ความอุดมสมบูรณ์) และกุ้งก้ามกรามหนวดยาว (หนวดยาวคืออายุยืนยาว) ฯลฯ ในหมู่บ้านหรืออำเภอของตน แล้วแห่ไปตามถนนเพื่อไปถวายยังศาลเจ้า รวมๆแล้วมีเกินกว่า 40 แห่ง (ใช้เวลาขนแห่เข้าศาลเจ้าสองวันติดกันกว่าจะหมด) แต่ที่เป็นจุดเด่นสุดคือ Oo-Kagami-Mochi (โอคากามิโมจิ) โมจิขนาดยักษ์ที่ทำขึ้นโดยกลุ่มผู้ที่เคยผ่านการคัดเลือกมาเป็น Shin-Otoko เท่านั้น ใช้แป้งโมจิหนัก 4 ตันทำรูปร่างขึ้นมา กว่าจะทำเป็นทรงได้ กว่าจะขนขึ้นรถบรรทุก (ต้องใช้เครนยก) และกว่าจะตกแต่งเสร็จ ก็ต้องใช้ความร่วมแรงร่วมใจกันมหาศาล ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้เขียนได้เข้าไปสังเกตการณ์มาด้วย ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมของประดับตกแต่งและย้าย Oo-Kagami-Mochi แห่ขึ้นรถบรรทุกไปที่ศาลเจ้า โดยเขาทำกันในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเมืองนาโกย่า เลยได้มีโอกาสเก็บภาพมาฝาก

ในช่วงสองวันก่อนวันงานหลัก จะมีการแห่เคลื่อนย้าย Kagami-Mochi จากที่ต่างๆ มาถวายเป็นเครื่องสักการะให้ศาลเจ้า (โดยในช่วงเวลานี้นักท่องเที่ยวสามารถมาดักรอชมที่บริเวณรอบๆ ศาลเจ้าได้) อันเล็กหน่อยก็ใช้รถบรรทุกคันเล็กขนเข้าไป บางหมู่บ้านยังมีหนุ่มๆมาเข้าร่วมเยอะก็จะใช้วิธีแบกกันเข้าไป แต่พอมาถึงไฮไลท์ที่เป็นโมจิยักษ์หนัก 4 ตัน สูงประมาณ 2.35 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.4 เมตร ที่ขนมาด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่นั้น กลับไม่สามารถผ่านเข้าประตูศาลเจ้าได้ ก็มีการใช้เครนขนลงมาบนรถลาก ช่วยกันลากเข้าไป (กรุณาดูรูปและคำบรรยายใต้รูปประกอบเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น) แต่ก็ต้องใช้เครนยกยอดส้ม Dai-Dai ออกเพราะสูงกว่าประตูทางเข้า พอผ่านประตูเข้ามาได้ก็ต้องใช้เครนช่วยยก Dai-Dai วางกลับเข้าที่ก่อนยกขนและเข็นเข้าไปในไว้ตัวศาลเจ้าซึ่งใช้เวลากันพอสมควรทีเดียว โดยทั่วไปพอขนโมจิเข้ามาถวายแล้ว ผู้ที่มากับขบวนจะร่วมร้องบันไซสามรอบ ก่อนทะยอยเดินเข้าไปในศาลเจ้าเพื่อพบกับ Shin-Otoko หลังผ่านพิธีสวดต่างๆ เมื่อพบกับ Shin-Otoko ก็จะได้มีโอกาสสัมผัสเท้าและให้ Shin-Otoko เอาไม้ศักดิ์สิทธิ์ฟาดหลังเพื่อปัดเป่าความโชคร้ายทั้งปวงออกจากร่างให้เข้าไปสู่ตัวผู้รับเคราะห์ซึ่งก็คือตัว Shin-Otoko แทนนั่นเอง

ในวันหลักที่เป็นวันสำคัญของเทศกาล Konomiya Hadaka Matsuri แน่นอนว่าเป็นเทศกาล “naked” ที่เหล่าผู้ชายที่ร่วมงานในลานก็จะใส่แค่ผ้าเตี่ยวญี่ปุ่นพันรอบเอว โดยในวันนี้จะมีคนมาชม (แต่งตัวเสื้อกันหนาวเต็มยศไม่ต้องเปลือย) เยอะที่สุด จึงควรรีบไปจับจองพื้นที่แต่เนิ่นๆ มีร้านค้ามาออกร้านมากมาย ในวันที่ผู้เขียนไปนั้นเป็นวันที่ดูเหมือนฟ้าใสแต่ลมเย็นยะเยือกมาก อากาศต่ำกว่า 5 องศาแต่ผู้ศรัทธาภายใต้ผ้าเตี่ยวผืนเดียวก็ร่วมใจกันมาอย่างไม่ขาดสาย โดยเริ่มจากแบกท่อนไม้ไผ่ผูกผ้าสะเดาะเคราะห์ที่คนอื่นๆ เช่นเด็ก ผู้หญิงและคนชราในหมู่บ้านตัวเองที่ไม่สามารถเข้าร่วมขบวนได้ฝากผูกกันมา เพื่อแห่เข้ามาไว้ที่ศาลเจ้า โดยมีขบวนแห่จากหมู่บ้านต่างๆ ทะยอยกันมาไม่ขาดสายตลอด 2-3 ชั่วโมงในช่วงบ่าย

 จากนั้นก็ถึงเวลาที่เหล่าชายนุ่งเตี่ยวรวมตัวกันเต็มหน้าลานเพื่อดักรอ Shin-Otoko ที่อยู่ในสภาพเปลือยไม่ต่างกัน (ที่ได้แอบออกไปอยู่นอกศาลเจ้าก่อนแล้ว) ปรากฎตัวขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของลานหน้าประตูทางเข้าศาลเจ้าและพยายามจะฝ่าด่านฝูงชนที่ยืนออรอกันอยู่ เพื่อเข้าไปยังช่องประตูของศาลเจ้า โดยทุกคนจะแห่มะรุมมะตุ้มเข้าไปหาตัว Shin-Otoko เพื่อพยายามไปแตะตัวเขาให้ได้ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อแตะตัวได้แล้วจะสามารถปัดเป่าความโชคร้ายของตนไปสู่ผู้รับเคราะห์ได้ บอกตามตรงว่าในช่วงเวลาอันตื่นเต้นนี้ตัวผู้เขียนในฐานะคนดูไม่มีโอกาสได้เห็นตัว Shin-Otoko เลย เพราะเขาจมหายอยู่ในหมู่ชายเปลือยนั่นเอง สิ่งที่พอจะทำให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็คือมองตามเสียงเฮโลฮือฮาและคลื่นคนที่ไหลเบียดเสียดกันไปรุมอยู่ตรงจุดที่คาดว่า Shin-Otoko อยู่ ระหว่างนั้นก็จะมีคนตักน้ำเย็นๆ ใส่ถังไม้ไปราดใส่ฝูงชนที่พยายามรุมล้อมผู้รับเคราะห์ (Shin-Otoko) จนท้ายที่สุดเขาก็สามารถฝ่าฝูงชนกลับเข้าไปในช่องประตูเล็กๆ ของตัวอาคารด้านหนึ่งของศาลเจ้าที่เรียกว่า Naoi-Den (นาโออิเด็น) ได้ โดยมีเหล่ารุ่นพี่ที่คอยอยู่ที่ประตูจะผูกเชือกกับเอวและกระโดดออกมาคอยช่วยกันดึงและฉุดตัวเขาเพื่อลากตัวเอาเข้ามาในประตูให้ได้ สภาพที่เห็นตอนเข้าประตูช่องเล็กๆไปนั้นดูท่าทางเหมือนหมดสติไปแล้วเลยทีเดียว

เมื่อเคราะห์ร้ายทั้งหลายตกมาอยู่ที่ชายคนนี้เดียวคนแล้ว เขาจะต้องแบกรับเคราะห์เหล่านี้ไปปลดปล่อยสะเดาะเคราะห์ให้ฝูงชนที่มารุมล้อมและแตะตัวเขา ซึ่งจะเป็นพิธีจะเกิดขึ้นในตอนดึกดื่นตี 2 ตี 3 ของคืนนั้น ณ เพิงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บวงสรวงเทพเจ้าที่กล่าวไปถึงก่อนหน้า จึงไม่มีคนมาเข้าร่วมมากแบบตอนกลางวัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพิธีการช่วงนี้คือพิธีการที่ถือว่าเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เรียกว่าพิธี Yonaoi Shinji (โยนาโออิชินจิ) โดยคนในพิธีจะเอาโมจิดำที่เรียกว่า Tsuchi-Mochi (ทซึจิโมจิ) แปลตรงตัวว่าโมจิดิน (ทำโดยตำขี้เถ้าผสมลงไปในแป้งทำโมจิเพื่อให้ออกสีดำและทาสีด้านนอกให้เป็นสีดำ) พร้อมตุ๊กตาและกระดิ่งผูกกับ Shin-Otoko (ซึ่งในตอนนี้จะอยู่ในสภาพที่อิดโรยฟกช้ำดำเขียวจากการถูกรุมเมื่อตอนบ่าย) และชายผู้รับเคราะห์กรรมแทนผู้อื่นคนนี้ก็จะถูกไล่เนรเทศเดินออกไปจากศาลเจ้า โดยมีคนที่เข้าร่วมพิธีร่วมขว้าง Tsubute (ทซึบุเตะ) (กระดาษห่อเศษกิ่งต้นพีชและกิ่งต้นหลิวเป็นก้อนเล็กๆเหมือนก้อนกรวด ซึ่งจะถูกเก็บมาทำขี้เถ้าสำหรับทำโมจิดำในปีต่อไป) ใส่ตัวด้วย โดยชายผู้นี้จะขนโมจิดำนี้ไปทิ้งลงดินระหว่างทางและนักบวชก็จะตามไปฝังโมจินี้ไว้ โดยเชื่อกันว่าเป็นการส่งวิญญาณชั่วร้ายที่ถือกำเนิดมาจากพื้นดิน กลับคืนไปสู่พื้นดิน เพื่อทุกอย่างจะกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ตามความเชื่อที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่าในอดีต ชายผู้รับเคราะห์คนนี้เขาจะหาจับคนจรจัดที่ไม่มีใครรู้จักมารับเคราะห์และเนรเทศไสหัวไปให้พ้นโดยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ทราบ แต่ในปัจจุบัน ผู้รับหน้าที่นี้จะต้องเป็นผู้ที่สมัครใจและได้รับคัดเลือกเข้ามา โดยถ้าเขาผ่านคืนนี้ไปได้ วันต่อมาชายคนนี้ก็จะเป็นไท มีผู้คนมายกย่องสรรเสริญขอบคุณที่ช่วยสะเดาะเคราะห์ให้พวกเขา…จนกว่าจะถึงเวลาสรรหาชายผู้อาสาเข้ามาเป็น Shin-Otoko ในปีต่อไป…

Leave a comment