
หลังจากเถลไถลระหว่างเส้นทางตามที่กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงเมือง Ganzi หรือ Garzê (กานจือ) เมืองหลวงแห่งเทศมณฑลกานจือ (Ganzi County) ในเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตกานจือ (Ganzi Tibetan Autonomous Prefecture) บนทางหลวงเส้น G317 ของจีนหรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นทางหลวงเสฉวน-ทิเบตตอนเหนือ ตัวเมืองตั้งอยู่ในหุบเขากานจือที่ความสูงเกินกว่าสามพันเมตร ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่เห็นเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอยู่เบื้องหน้าและเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่เบื้องหลัง โดยมีแม่น้ำ Rongcha (หร่งชา) แม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำ Yalong (ยาลอง) ไหลผ่าน พลเมืองส่วนใหญ่ของเมืองนี้มีเชื้อสายทิเบต เนื่องจากแต่เดิมที่นี่คือดินแดนส่วนหนึ่งของทิเบตที่เรียกว่า Kham (คาม) ตามที่ได้เคยกล่าวไว้แล้ว วัฒนธรรมแบบทิเบตทั้งรูปแบบการแต่งกายและสถาปัตยกรรมมีอยู่ให้เห็นโดยทั่วไป



บนเนินทางตอนเหนือของเมืองนี้ เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนสถานแบบทิเบตที่สำคัญควรค่าแก่การเข้าไปเยี่ยมชม นั่นก็คือ Kandze Monastery (วัดกานจือ) คำว่า Kandze ก็คือคำว่า Ganzi นั่นเอง แต่สะกดตามเสียงของภาษาทิเบต วัดนี้เก่าแก่กว่า 500 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1642 โดยเป็นวัดพุทธฯทิเบต นิกายหมวกเหลือง หรือ Gelugpa ถือเป็นวัดที่ใหญ่โตที่สุดแห่งหนึ่งในดินแดน Kham เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี บางส่วนของวัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน จากนั้นจึงมีการบูรณะขนานใหญ่ในปี ค.ศ. 1981 โดยทำขึ้นใหม่ในสไตล์จีนฮั่น วัดนี้ก็เลยไม่ได้ดูเป็นทิเบตทีเดียวแต่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมอยู่ด้วย ตอนที่พวกเราไปถึงที่วัดนี้ในช่วงเช้าตรู่และเดินไปแถวลานหน้าตึกหลังใหญ่ที่เป็นอุโบสถหลัก ก็เจอเข้ากับพระลามะหนุ่มๆ กำลังปั้นเจดีย์ขนาดเล็กกับทำเทียนอยู่พอดี วิวจากที่นี่ก็สวยงามเพราะวัดอยู่บนเนินมองเห็นตัวเมืองได้กว้างไกล แถมมีเทือกเขาหิมะอยู่ไกลๆ หลังจากถ่ายรูปจนพอใจ ก็เดินวนไปดูตามอาคารต่างๆ มีการประดับตกแต่งแบบทิเบตอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ สมเป็นวัดใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปทองเป็นร้อยๆ องค์เต็มผนัง ภาพเขียนสีบนเพดาน ไปจนถึงประติมากรรมต่างๆ ภายในวัด โชคดีของฉันอีกครั้งที่ไปตรงกับช่วงที่ลามะกำลังสวดมนต์กันอยู่ในพอดี เลยได้กดชัตเตอร์มาสองสามรูปก่อนที่จะมีพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินมาบอกว่าห้ามถ่ายรูป…หลังจากที่เดินสำรวจไปตามอาคารต่างๆ ก็มาเจอเหล่าเณรลามะน้อยกำลังท่องหนังสือกันอยู่ที่ลานหน้าอาคารอีกหลังหนึ่งพอดี ตกสายๆ เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยกันมาเยี่ยมชมมากขึ้น รวมไปถึงชาวบ้านชาวทิเบตในพื้นที่เองก็เดินขึ้นเนินมาทำบุญนมัสการไหว้พระกัน ซึ่งเป็นอันได้เวลาที่พวกเราต้องเดินทางต่อพอดี




พวกเราออกเดินทางจากเมือง Ganzi มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก (ทิศทางที่ไปทิเบต) ตามทางหลวง G317 นั่งรถไปได้สักหนึ่งชั่วโมง ก็เจอวัดใหญ่อยู่ริมทางหลวง ดูเหมือนกำลังมีงานอะไรกันอยู่ ผู้คนคึกคักมาก ก็เลยแวะเข้าไปเที่ยวชมโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อวัดอะไร มาถามคนขับตอนหลัง เขาก็บอกแต่ว่าชื่อ Dajinsi (ต้าจิงสือ) หลังจากที่เดินวนงงๆ อยู่ในดงคนทิเบตสักพัก ก็มีสตรีท่านหนึ่งเดินมาทักทายเป็นภาษาอังกฤษ (เธอบอกว่าเคยไปอยู่ที่ดาลัมศาลา ในอินเดียมาก่อน) ก็เลยได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันพระใหญ่ มีการสวดมนต์พิเศษกัน คนเลยมาชุมนุมกันเต็มไปหมด ทั้งชาวบ้านผู้หญิงที่มาช่วยขัดถูเชิงเทียน ชาวบ้านผู้ชายมาช่วยขนนั่นขนนี่ ต้มน้ำชาเนยแจกจ่าย เติมเทียนตามจุดต่างๆ พระลามะ เณร และแม่ชีสวดมนต์กันยาวๆ ชาวบ้านก็พากันมากราบไหว้ ดูครึกครื้นกันเหมือนมีงานวัดย่อมๆ จนพวกเราหมดเวลากับที่นี่ไปเป็นชั่วโมงๆ เลยทีเดียว






หากได้เดินทางตามเส้นทางถนนเสฉวน-ทิเบตนี้แล้ว ถ้าไม่ไปแวะกันที่ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ Xinluhai (ซินลู่ไห่) แล้ว เรียกได้ว่าพลาดไฮท์ไลท์สำคัญของถนนสายนี้กันเลย เริ่มจากเส้นทางในบริเวณนี้ซึ่งอยู่ในที่สูง ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ทุ่งหญ้าเขียวขจีและดอกไม้นานาพรรณเริ่มมีให้เห็นทั่วไป รวมถึงสัตว์ฟันแทะต่างๆ คล้ายๆ กระรอกตัวเล็กๆ ไปจนถึงตัวบักเอ้บอย่าง Himalayan Marmot ตัวอ้วนกลมออกจากรูมาหาอาหาร เป็นเส้นทางที่ต้องจอดรถกันเป็นว่าเล่นเพื่อถ่ายรูปนู่นนี่นั่น อย่างไรก็ดี มีจุดพักรถจริงๆ ให้ชมวิวอยู่บางจุด มีกองหินที่ชาวทิเบตเอามากองไว้เพื่อเป็นการเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงธงมนต์ก็มีให้เห็นเป็นช่วงๆ ณ จุดพักรถมักจะมีร้านค้าของชาวบ้านมาวางของขาย แต่จุดพักรถที่ความสูงขนาดนี้ สิ่งที่เขาวางขายกลับเป็นซากอีแร้งตัวเขื่อง รวมถึงซากกระดูก อุ้งเท้า หัวของสัตว์ป่าต่างๆ แทน เห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก นอกจากซากสัตว์ป่าก็จะมีพวกสมุนไพรในที่สูงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะตากแห้งหรืออะไรหลายๆ อย่างที่ฉันดูออกแต่ว่าเป็นพืชแต่ไม่รู้ว่าอะไร ทั้งนี้บางทีก็เห็นถั่งเช่า ของฮิตติดลมของเมืองไทยวางขายอยู่ด้วยเหมือนกัน




Xinluhai หรือ Xinlu Lake (ทะเลสาปซินลู่) หรือเรียกกันในภาษาของชาวทิเบตว่า Yihun Lhatso (ยีฮุนลัทโซ) เป็นทะเลสาปบนที่สูงเกินกว่าสี่พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีความลึก 10-15 เมตร น้ำในทะเลสาปมาจากธารน้ำแข็งละลาย ตัวทะเลสาปและอาณาบริเวณที่เป็นป่ารอบๆ ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ จากจุดที่จอดรถจะต้องเดินไปตามเทรลอีกพอประมาณ และเนื่องจากจุดนี้อยู่ในระดับความสูงเกินสี่พันเมตรตามที่ได้กล่าวไปแล้ว แม้เพียงระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ก้าวก็ทำเอาหอบเอาได้ง่ายๆ ตัวทะเลสาปสวยสมใจ น้ำสีเขียวสวยสมกับเป็นน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งจากเทือกเขา Chola (โชลา) หรือ Quer Er Shan (เชว่เอ๋อร์ซาน) ที่มียอดสูง 6,168 เมตร โดยมีแนวเทือกเขาโอบล้อมทะเลสาปเอาไว้ ความเป็นทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธทิเบตเห็นได้ชัดจากธงมนต์ที่ปักเป็นกลุ่มๆ และ Mani Rocks (หินมณี) ที่มีอยู่มากมายตามจุดต่างๆ รอบๆ ทะเลสาป Mani rocks คือหินหน้าตัดที่ได้รับการแกะสลักคาถาหรือมนตราศักดิ์สิทธิ์ภาษาสันสกฤตของชาวทิเบต “Om Mani Padme Hum” (โอม มณี ปัทเม ฮุม) ซึ่งถือเป็นบทสวดสรรเสริญสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งชาวทิเบตจะสวดกันติดปากเสมอ คาถานี้มีให้เห็นโดยทั่วไปหากไปวัดทิเบต เช่นตามวงล้อศักดิ์สิทธิ์ ธงมนต์ หรือตามแผ่นหินต่างๆ เป็นต้น



หลังจากชมทะเลสาปแล้ว พวกเราเดินทางต่อไปตามถนนที่เริ่มไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก เพื่อผ่านช่องเขา Chola Pass ที่ความสูง 5,050 เมตร ทางขึ้นเขาเป็นถนนดิน ไม่ได้ราดยางแบบที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่หฤโหดปนหฤหรรษ์ อันเนื่องมาจากคนขับรถของพวกเราที่เป็นชาวจีนฮั่น ไม่คุ้นชินกับความสูงขนาดนี้ และเกิดอาการแพ้ความสูง Altitude Sickness ขึ้นมาบ่นปวดหัวในขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่น่าหวาดเสียว แต่อาการป่วยก็ยังไม่เท่ากับอาการดีใจของคนขับที่ได้เห็นลูกเห็บตกลงมาที่รถต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรกในชีวิต พี่แกถึงกับจอดรถวิ่งลงไปถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอระหว่างขับรถเป็นระยะๆเพื่อส่งไปให้ครอบครัวดู ท่ามกลางความงุนงงปนขำของนักเดินทางต่างถิ่นอย่างพวกเรา…




หลังจากที่ผ่านช่องเขาสูงห้าพันกว่าเมตรมาได้ เราก็เดินทางเข้าสู่เมือง Dege (เต๋อเก๋อ) ที่เมืองนี้ เรามีเป้าหมายในการเยี่ยมชมโรงพิมพ์บทสวดที่เก่าแก่ที่สุดของชาวทิเบตก็ว่าได้ ที่นี่มีชื่อเป็นทางการตามป้ายว่า Dege Sutra-Printing House หรือ Derge Parkhang (เตอร์เกอปาร์คลัง) ในภาษาทิเบต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1729 บทสวด หนังสือ ภาพพิมพ์ ทุกสิ่งของที่นี่ใช้วิธีดั้งเดิมในการสกรีนกระดาษบนบล็อคไม้ลงสีและแรงงานคนล้วนๆ โดยใช้สีแบบดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ยังคงทำการพิมพ์แบบนี้อยู่ เรียกว่าสุดยอดเอามากๆ รอบๆ ก็มีชาวทิเบตจากที่ต่างๆ มาเดินหมุนวงล้อภาวนาไปรอบๆ โรงพิมพ์เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธฯ เห็นได้ชัดว่าผู้คนที่มาที่นี่มีมาจากหลายชนเผ่า เพราะลักษณะการแต่งตัวการไว้ทรงผมที่แตกต่างๆ กันไป ภายในโรงพิมพ์ไม่อนุญาตให้เอากล้องถ่ายรูปเข้าไป (ถ้าจะเอาเข้าไป คาดว่าต้องทำเรื่องอย่างเป็นทางการมาแต่เนิ่นๆ) แต่เอามือถือเข้าไปได้ โดยต้องฝากกล้องเอาไว้ที่ด้านหน้า พอเข้าไปชั้นล่างก็เจอเขากำลังล้างและลงสีที่บล็อคไม้สลักบทสวดกับส่วนที่เย็บทำเล่ม ชั้นสองเป็นที่เก็บบล็อคไม้ซึ่งว่ากันว่ามีถึงสามแสนกว่าแผ่นสำหรับใช้พิมพ์บทสวดและหนังสือทางพุทธศาสนา และอีกกว่า 6,000 แผ่นสำหรับพิมพ์ภาพ (เช่นภาพพระพุทธเจ้า ภาพมันดาลา และภาพสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาอื่นๆ) ชั้นสามมีคนกำลังนั่งพิมพ์ (สกรีน) บทสวดลงบนกระดาษ มีห้องสำหรับคนคัดแยกนับจำนวนแผ่นที่พิมพ์ ฯลฯ และชั้นบนสุด (ดาดฟ้า) เป็นที่ตากกระดาษหรือผ้าที่สกรีนเสร็จแล้ว เรียกว่าน่าสนใจมากๆ ทั้งบรรยากาศของสถานที่เอง ความเก่าและเก๋าของวิธีการทำงานของผู้มีศรัทธา จริงๆแล้วตัวอาคารเองก็สวยงามน่าสนใจไม่แพ้กิจกรรมภายในเช่นกัน เพราะอาคารสามชั้นสร้างด้วยไม้ในสไตล์ทิเบต มีลานสี่เหลี่ยมโดยรอบ ทาสีสันสวยงาม เรียกว่าเดินได้กันทั้งวันไม่เบื่อ หลังจากลองพยายามทักทายกับคนที่นั่งทำงานอยู่ภายในอาคารแล้ว ไม่เห็นว่าจะมีใครพูดภาษาจีนหรืออังกฤษกันได้สักคน เชื่อว่าน่าจะเป็นคนท้องถิ่นชาวทิเบตล้วนๆ แต่ทุกคนก็ดูใจเย็นอารมณ์ดี ไม่ถือสาอะไรเวลาที่ฉันใช้มือถือถ่ายภาพ จะมีก็แต่คนคุมเท่านั้นที่เดินตามสังเกตพวกเราเป็นระยะๆ เพราะอาการฮึดฮัดของพวกเราในตอนเข้ามา ที่ทำท่าจะไม่ยอมฝากกล้องไว้กับเขา…





การเดินทางบนเส้นทางสาย G317 ของพวกเราในครั้งนี้ มาสิ้นสุดเอาที่เมืองหลักๆ คือ เมือง Dege แห่งนี้ หลังจากนี้ไปถนนจะไปถึงชายแดนทิเบตจุดที่มีแม่น้ำเป็นพรมแดนและตัดผ่านเข้าไปในส่วนที่เรียกว่าทิเบตในปัจจุบัน พวกเราไม่ได้ทำเรื่องขออนุญาตเข้าไปในทิเบต แต่ยังคงเดินทางวนเวียนอยู่ในดินแดน Kham ของชาวทิเบตหรือที่ชาวจีนเรียกว่าเสฉวนตะวันตกกันต่อไป โปรดติดตาม…
