Yekaterinburg (เยคาเตรินเบิร์ก) หรือ Ekaterinburg (เอกาเตรินเบิร์ก) เมืองที่เป็นเหมือนประตูระหว่างรัสเซียในทวีปเอเชีย (ไซบีเรีย) กับรัสเซียในทวีปยุโรป ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1723 โดยพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช โดยใช้ชื่อตามมเหสีองค์ที่สองของพระองค์ ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็นจักรพรรดินีองค์แรกของรัสเซีย คือจักรพรรดินีแคทเทอรีนที่ 1 (Catherine—>Yekaterina) โดยหวังจะให้เป็นหน้าต่างสู่เอเชีย เช่นเดียวกับที่หวังว่าเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเป็นหน้าต่างสู่ยุโรปในสมัยนั้น ตัวเมืองเติบโตขึ้นจากการทำเหมืองตามเทือกเขา Ural (อูราล) และอุตสาหกรรมเหล็กและทองแดง ปัจจุบันเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของ Sverdlovsk Oblast (แคว้นสเวียร์ดลอฟส์ค) และได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศรัสเซียในปัจจุบัน
Church-on-Blood in Honour of All Saints Alexander Nevsky’s Cathedral Dome painting in Alexander Nevsky’s Cathedral Inside Alexander Nevsky’s Cathedral
ถึงแม้ว่าโดยรวม Yekaterinburg จะเหมือนเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่ก็ถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากเป็นเมืองที่สามารถพบเห็นได้ทั้งตึกที่ตกแต่งอย่างเอิกเกริกสไตล์บาร็อคตั้งแต่สมัยก่อนปฏิวัติ ตึกทื่อแข็งเป็นบล็อคๆ ในสมัยคอมมิวนิสต์ และตึกใหม่เอี่ยมเก๋ไก๋ทันสมัยแบบยุคปัจจุบันได้ในบริเวณใกล้ๆกัน เมืองนี้เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าถึงได้หลังโซเวียตล่มสลาย เนื่องจากเป็นที่ตั้งสำคัญทางการทหาร เช่นโรงงานเหล็กและอาวุธ และโรงผลิตขีปนาวุธต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นแพนทากอนรัสเซียที่สภาพตึกใหญ่โตบางตึกยังคงปิดตายให้เป็นที่น่ากังขาสำหรับคนทั่วไปว่าอาจมีการเก็บความลับอะไรไว้อยู่ก็เป็นได้ แถมเมืองนี้ยังเป็นจุดที่เกิดเหตุสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่นการปลงพระชนม์ Tsar Nicolas II (พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของรัสเซียและสมาชิกครอบครัวในราชวงศ์โดยกลุ่ม Bolsheviks (บอลเชวิคส์) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 บ้าน Ipatiev (อิปาเตียฟ) ที่เคยเป็นที่อาศัยชั่วคราวและที่ถูกปลงพระชนม์หมู่ได้ถูกรื้อถอนออกและสร้างเป็น Church-on-Blood ขึ้นมาแทนเมื่อต้นศตวรรษที่ 21 ส่วนประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซียอย่าง Boris Yeltsin (บอริส เยลต์ซิน) เองก็เคยเป็นผู้ว่าการฯ ที่นี่ถึงเกือบๆสิบปี จึงมีการก่อตั้ง Yeltsin Center ที่มีทั้งพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับตัวเขา อนุสาวรีย์ และอื่นๆ ที่กลายเป็นจุดท่องเที่ยว แหล่งวัฒนธรรม และพบปะพูดคุยทางการเมืองอย่างเสรีแห่งใหม่ของตัวเมือง
Yeltsin Center Boris Yeltsin’s bullet&radioactive proof limousine Inside Yeltsin Center Boris Yeltsin monument in front of Yeltsin Center
ปัจจุบัน ภายในเมืองยังมีอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญและงานศิลป์กระจายอยู่หลายจุด มีการสร้างและบูรณะโบสถ์ใหม่ๆขึ้นมาอย่างงดงาม มีลานคนเมืองริมน้ำที่มีการจัดงานรื่นเริงต่างๆ เช่นในช่วงพฤษภานี้มีงาน May Extreme มีการแข่งขันในกีฬาที่ใช้แรงกล้ามเนื้อเยอะๆเช่นปีนหน้าผา คายัค (สู้น้ำที่ไหลออกมาจากเขื่อนกลางเมือง) ห้อยโหนบนเชือก ฯลฯ ในช่วงหน้าหนาวก็มีการจัด Snow Festival แบบในฮอกไกโดและฮาร์บินเป็นต้น รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่โตมโหฬาร หากไปเที่ยวที่เมืองนี้ด้วยตัวเอง ขอแนะนำให้เดินตามเส้นสีแดงที่ขีดลากไปมาอยู่กลางเมือง ซึ่งมีกลุ่มอาสาสมัครได้จัดทำเอาไว้ เพื่อเป็นเส้นทางในการเดินชมเมืองตามแผนที่ (หยิบได้จากโรงแรมต่างๆที่เข้าร่วม) ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมจุดสำคัญๆต่างๆของเมืองเองได้อย่างอิสระภายในเวลา 3 ชั่วโมง (ระยะทางรวมประมาณ 6 กม.)
The Beetles Monument along red-line tourist walking route Computer Keyboard Monument Vasily Tatishchev and Georgg Wilhelm de Gennin, two engineers who design this city
นอกจากที่เที่ยวต่างๆในเมืองที่สรุปให้เห็นคร่าวๆในย่อหน้าเดียวข้างต้นแล้ว หากดั้นด้นมาถึงที่นี่ได้ คงหนีไม่พ้นต้องไปถ่ายรูปกันที่จุดแบ่งทวีปเอเชียและยุโรป ที่ห่างจากตัวเมืองตามทางหลวงสาย E22 ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 20 กิโลเมตร ที่นี่มีหลักแบ่งเขต เส้นแบ่งเขต และตัวหนังสือบ่งบอกสองทวีปให้ได้ถ่ายรูปกันริมทางหลวงได้เลย ถ้าให้บริษัททัวร์นำมาเขาก็อาจมีการเปิดแชมเปญฉลองให้และมีการให้ใบรับรองให้กับการเดินข้ามทวีป ณ จุดนี้ด้วย แม้หลักแบ่งเขตจะดูเหมือนทำขึ้นมาลอยๆประมาณป้ายสุดเขตชายแดนประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงบริเวณนั้นและยาวขึ้นเหนือลงใต้ไปตลอดแนวคือแนวสันปันน้ำแห่งเทือกเขา Ural ที่ใช้แบ่งทวีปทั้งสองออกจากกันจริงๆ ในทางภูมิศาสตร์ ที่ไม่ใช่เส้นสมมติ
The marking line between Asia and Europe Memorial to Victim of Political Repression Masks of Sorrow sculpture
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่จะถึงหลักแบ่งเขตทวีปนี้ จะต้องผ่านจุดที่น่าเศร้าสลดอย่างถึงที่สุดก่อน สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกยาวๆว่า Memorial to Victim of Political Repression and the Masks of Sorrow เป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศให้เหล่าประชาชนที่เป็นเหยื่อทางการเมืองสมัยคอมมิวนิสต์ (Gulag) ที่ถูกสังหารหมู่ (เชื่อว่าทั้งประเทศน่าจะมีถึง 800,000 คนจากจำนวนนักโทษเป็นล้านๆคนในยุคนั้น!) เฉพาะที่นี่มีรายนามของผู้เสียชีวิตที่ขุดเจอจากหลุมศพขนาดยักษ์ที่ถูกฝ่ายผู้สังหารเอาศพมาฝังกองรวมกันไว้แถวๆนี้กว่า 18,000 ชื่อ จากซากศพที่มีถึง 21,000 ศพ (ที่ไม่มีชื่อคือยังไม่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ได้) ทั้งหมดถูกสังหารในช่วงปี ค.ศ. 1937-1938 จริงๆแล้วมีการพบซากกระดูกศพมาตั้งแต่สมัยปี 1970s โดยคนงานที่สร้างทางหลวงเส้นนี้ แต่ทุกอย่างถูก KGB บังคับให้ปิดเป็นความลับ จนกระทั่งโซเวียตล่มสลายจึงมีการขุดค้นและพิสูจน์ซากศพว่าเป็นใครบ้าง โดยยังคงทำการพยายามพิสูจน์ตัวตนอยู่จนถึงปัจจุบัน กลางลานของแผ่นหินสลักรายชื่อเหล่านั้นมีแท่นสี่เหลี่ยมยอดแหลม แต่ละด้านมีสัญญลักษณ์ของสี่ศาสนาคืออิสลาม ยิว ออโธด็อกส์ และคริสเตียน อุทิศให้ผู้เสียชีวิตนิรนามที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ด้านหน้าทางเข้ามีงานประติมากรรมชื่อ Masks of Sorrow (หน้ากากแห่งความโศกเศร้า) ออกแบบโดยศิลปินชาวรัสเซีย-อเมริกัน Ernst Neizvestny (เอิร์นสต์ เนซเวสต์นี) เป็นรูปหน้าคนหันหน้าไปคนละทิศคือทิศตะวันออกสู่เอเชียและทิศตะวันตกสู่ยุโรป โดยบนหน้ามีน้ำตาหยดออกมาเป็นรูปหน้าคนที่ดูเศร้ารันทดเป็นอย่างยิ่ง (น่าเสียดายที่ศิลปินที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมือง Yekaterinburg นี้ เสียชีวิตก่อนที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้จะเปิดอย่างเป็นทางการในปี 2017 เพียงหนึ่งปี) บอกตามตรงว่าระหว่างที่เดินอยู่ท่ามกลางรายชื่อผู้เสียชีวิตเหล่านั้น รู้สึกขนลุกและเศร้าซึมจนอยากจะร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว
Nevyansk bending tower Mr. Alexander, the 7th generation of this pottery line St. Nicholas Church (Iron Church) Important arts work in the Iron Church Steel (Iron) floor in the church (the sun pattern symbolizes protection)
ห่างจาก Yekaterinburg บนเส้นทางสวยแปลกตาไปทางเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ Leaning Tower of Nevyansk (หอเอนแห่งเมืองเนฟยันส์ค) ที่เข้าใจว่าคงเกิดจากความผิดพลาดในการก่อสร้างของช่างที่ชำนาญงานเหล็กแต่ต้องมาสร้างอาคารด้วยอิฐถือปูน เมือง Nevyansk เป็นเมืองที่เจริญขึ้นจากคนของตระกูล Dimidov (ดิมิดอฟ) ที่เรียกว่าเป็นเจ้าพ่อโรงถลุงเหล็กแห่งรัสเซียในยุคนั้น (ขนาดพื้นโบสถ์ยังทำเป็นพื้นเหล็ก จนชาวบ้านเรียกโบสถ์ที่ตระกูลนี้สร้างว่า Iron Church) ส่วนหอเอนที่เป็นหอระฆังนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วง 1730s ด้วยความสูงทั้งหมดประมาณ 60 เมตร ตรงแกนสี่เหลี่ยมตรงกลางจะเอียงๆ น่าจะตั้งแต่เริ่มสร้าง แต่ช่างก็แก้ให้ยอดหอระฆังตั้งตรงขึ้นไปได้… ที่นี่เลยกลายเป็น Landmark ของเมืองและเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในบริเวณไซบีเรียตะวันตกนี้เป็นเวลาหลายปี ตัวหอตั้งอยู่ข้างๆโบสถ์เก่าของชาว Old-believers ซึ่งมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้… ห่างจากหอเอนไม่ไกล เป็นที่สาธิตงานของช่างปั้นหม้อท้องถิ่นที่สืบทอดงานฝีมือกันมาอย่างยาวนาน ช่างปั้นหม้อที่สาธิตการทำงานให้ฉันได้ดูในครั้งนี้คือพ่อหนุ่ม Alexander (อเล็กซานเดอร์) ซึ่งเป็นช่างปั้นหม้อหนุ่มรุ่นที่ 7 ของตระกูล เขาอธิบายที่มาของดินสีแดงจากแม่น้ำในบริเวณใกล้เคียงที่เป็นวัตถุดิบ รวมถึงการเหยียบและขย้ำไล่อากาศแบบในอดีต (ปัจจุบันใช้เครื่องจักรแทนแล้ว) และสาธิตวิธีการปั้นหม้อและทำลวดลายให้ชม ก่อนให้ผู้เข้าชมอย่างฉันลงมือปั้นเองด้วยอย่างเละเทะ พ่อหนุ่ม Alexander จบการสาธิตด้วยการปิดตาปั้นหม้อให้ได้เฮ จนอดไม่ได้ที่จะต้องซื้อของฝากติดไม้ติดมือมาจาก Pottery Workshop ดังกล่าว

บนเส้นทางเดียวกันนี้ ยังเป็นที่ตั้งของบ้านของคุณคิริลลอฟ (Kirillov’s house) ซึ่งเป็นบ้านที่ค่อยๆ ถูกตกแต่งออกแบบลวดลาย เสริมนั่นเสริมนี่จนคล้ายบ้านในนิทานที่บันทึกประวัติศาสตร์ของรัสเซียในช่วงสมัยของศิลปินเองได้อย่างแยบยล ตัวศิลปินเป็นช่างเหล็กธรรมดาๆในหมู่บ้าน Kunara (คุนารา) (แต่งานตกแต่งบ้านเป็นงานไม้เสียส่วนใหญ่!?) เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ปัจจุบันคุณ Kirillov เจ้าของผลงานเสียชีวิตไปแล้ว แต่มีคุณป้าลูกสาวคอยมาช่วยดูแล และเปิดรับอาสาสมัครมาบูรณะบ้านเป็นระยะๆ บ้านหลังนี้ดูแปลกตากว่าบ้านทุกหลังในแคว้น และได้รางวัลป๊อปปูล่าโหวตในเว็บไซด์แห่งหนึ่งที่รณรงค์การท่องเที่ยวในประเทศของชาวรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้ใครๆก็ต้องแวะมาชม
A small church built to cover the Spring of Love 400-year-old timber Katya’s House Inside Katya’s house exhibiting former local living style
หากใครนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาจากทางทิศตะวันออก เมื่อมาถึงเมือง Yekaterinburg นี้ก็คงจะกำลังร่ำลาจากดินแดนไซบีเรียตะวันตกเข้าสู่ทวีปยุโรปอย่างเต็มตัวแล้ว ถ้ามีเวลาเหลือ ฉันขอแนะนำให้แวะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชนบทดั้งเดิมอายุกว่า 300-400 ปี ที่โยกย้ายกันเข้ามาอยู่ในดินแดนไซบีเรียแห่งเชิงเขา Ural เป็นการส่งท้ายกันสักนิด หมู่บ้าน Koptelovo (คอปเทโลโว) ห่างจากเมือง Yekaterinburg ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 2 ชั่วโมงโดยทางรถยนต์ ชื่อของหมู่บ้านมาจากการเริ่มตั้งถิ่นฐานของคุณ Koptel (หรืออะไรทำนองนี้) ที่เผอิญผ่านมาที่นี่และได้เจอน้ำผุดธรรมชาติ ที่ไหลออกมาตลอดเวลาโดยไม่กลายเป็นน้ำแข็งแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว น้ำผุดธรรมชาติที่ว่ายังคงไหลผ่านท่อไม้ซุงให้คนในหมู่บ้านได้ใช้อยู่จนปัจจุบัน โดยมีชื่อว่า “Spring of Love” หากมาถึงที่นี่ก็จะได้เดินชมหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา มีบ้านไม้ซุงของคุณยาย Katya ที่เก่าแก่ที่สุดกว่า 400 ปี ที่ยังคงสภาพเดิมอยู่เกือบ 100% เป็นตัวแทนทางวัฒนธรรมที่สัมผัสได้จริง คุณยาย Katya ขายบ้านหลังนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของหมู่บ้าน ตอนแกอายุ 90 ปี เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว บ้านไม้ท่อนซุงนี้ไม่ใช้ตะปูเลยสักตัว แต่ใช้การสับท่อนไม้เข้าร่องไปมาทั้งหลังด้วยฝีมือชั้นเลิศที่ยังคงความแข็งแรงให้เห็นจนถึงปัจจุบัน Yekaterinburg และอาณาเขตรอบๆเมือง ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่หมด แต่สำหรับผู้ที่เดินทางมาด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจากทางตะวันออกแล้ว ที่นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักเดินทางได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างจากความเป็นไซบีเรีย สู่ความเป็นอยู่ของชาวเทือกเขาอูราล ก่อนจะเข้าสู่ความเป็นยุโรปในอีกฝากฝั่งของเทือกเขา (หรือเป็นไปในทางกลับกัน หากเดินทางมาจากทางตะวันตก) ในขณะเดียวกันก็ยังมีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันของความเป็นโซเวียตในอดีต สมกับที่เป็นเมืองที่เชื่อมต่อความเป็นเอเชียและยุโรปของรัสเซียอย่างแท้จริง
Rezh River, originated from Mt. Ural Twilight moment of the city
