ในที่สุดก็ได้ฤกษ์มาเล่าเรื่องราวต่ออีกแล้ว…(งานยังไม่เข้าเช่นเคย…
)

คืนก่อนสุดท้ายที่สิ้นสุดแพ็คเกจดำน้ำ ฉันกับ MDR ก็เริ่มร้อนก้น ว่าเราจะทำอย่างไรกันต่อดี เพราะทริปหลังจากนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นจริงเป็นจังเป็นรูปเป็นร่างกันเลย ว่าจะเดินทางกันยังไง นอนที่ไหน ฯลฯ แน่นอนว่าการวางแผนคร่าวๆว่าจะไปไหนนั้น คิดๆกันไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนออกจากเมืองไทย แต่ทุกอย่างอยู่ในกระดาษ…หมายความว่า หาข้อมูลต่างๆจากเน็ทแล้วก็พิมพ์ออกมาไว้ในกระดาษ กับหนังสือไกด์บุ๊คอีกหนึ่งเล่ม แต่ในความเป็นจริงคือ ไม่ได้จองอะไรไว้เลย…อ่ะนะ… รู้แต่ว่า จุดหมายปลายทางต่อไปของพวกเราคือป่าแทงโกโก้ (ชื่อเต็มๆว่า Tangkoko-Batuangas Dua Saudara Nature Reserve) ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลห่างจากเมืองมานาโดนัก ประมาณร้อยกว่ากิโล ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จริงมันก็อยู่ใกล้ๆกับช่องแคบเลมเบ้ที่พวกเรานั่งรถไปลงเรือดำน้ำกันเมื่อวันก่อนนั่นล่ะ…ระยะทางอาจดูว่าน้อย แต่จากถนนหนทางบนเกาะและความคดเคี้ยวของพื้นที่นั้น ต้องใช้เวลากัน 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว..
ป่าแทงโกโก้ เป็นป่าค่อนข้างสมบูรณ์ที่อยู่ใกล้เมืองใหญ่ๆแบบมานาโด ถ้าไปดูตามเอเจนซี่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในรีสอร์ทเอง เขามีทริปไปกลับภายในวันเดียวได้ โดยเป้าหมายหลักคือการไปดูน้องเกรมลิน Tarsia รุ่นที่ตัวเล็กที่สุดในโลกในป่าแห่งนี้ แต่มีหรือที่เราจะไปวันเดียวกลับ ก็ในเมื่อตั้งใจจะไปดูนกที่นั่นนี่นะ อย่างน้อยต้องสองสามวันอยู่แล้ว…แล้วจะไปกันยังไง? ทางเลือกแรกคือก็ออกจากรีสอร์ทที่เราอยู่ไปในเมือง นั่งรถประจำทางไปต่ออีกสองสามทีก็จะถึงหมู่บ้านเล็กๆติดกับป่าแห่งนี้…ลำบากไปมั้ง ฮ่า ฮ่า เหมารถไปเลยดีกว่า มารับที่รีสอร์ท ส่งถึงหน้าที่พักที่นั่น (ซึ่งยังไม่รู้ว่าที่ไหน) เราก็เลยติดต่อกับพนักงานที่รีสอร์ทที่พัก เขาบอกว่าจ้างรถของที่นี่ไปได้ ไปส่งให้อย่างเดียว ห้าแสนรูปีส์ แวะเที่ยวตามทางให้ แต่ไม่รวมค่าน้ำมัน…อย่าเพิ่งตกใจกันไปค่าเงินอันแสนเฟ้อที่อินโดนีเซียนี่ทำให้มูลค่าค่อนข้างต่ำ และค่อนข้างแกว่งอยู่ตลอดเวลา เอาง่ายๆที่ฉันใช้คิดคำนวณคือ หนึ่งพันรูปีส์ ประมาณ 4 บาท (จริงๆไม่ถึงหรอก สามบาทกว่าๆเกือบสี่น่ะ) ห้าแสนก็คือประมาณ สองพันบาท…แต่พอรู้ว่าพวกเราไม่ได้ไปเที่ยวเฉยๆแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่ต้องการไปดูนกเป็นหลัก พนักงานโรงแรมก็เลยบอกว่า เดี๋ยวเขาโทรเรียกเพื่อนที่ทำทัวร์และรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าเขามาให้ จะได้คุยกัน…สรุปง่ายๆตรงที่ว่าเมื่อคุยแล้ว ถึงโปรแกรมคร่าวๆของเราที่จะไปป่านี้ ป่าโน้น ป่าไหน หลายที่ เขารับฟังกลับไปโค้ดราคามา รวมทุกอย่าง…แฮ่ะ แฮ่ะ ตกออกมาร่วมแสนบาทต่อหัวน่ะ…โนว์วววว…แต่ราคาที่เขาโค้ดมานี้ ก็พอๆกับทัวร์ดูนกทั้งหลายที่ฉันหาข้อมูลในเน็ทก่อนมานั่นล่ะ (ถึงได้ไม่ใช้ทัวร์ไง) หนักตรงที่ พวกเราต้องเดินทางโดยเครื่องบินในประเทศหลายรอบอยู่ เพื่อไปยังเมืองอื่น ป่าอื่น เกาะอื่นที่ต้องการไป ถ้าใช้ทัวร์ก็ต้องออกค่าเดินทางเหล่านี้ให้ไกด์ที่จะไปกับเราด้วย ถ้ามาหลายคนก็น่าจะโอเค แชร์ๆกันไปได้ แต่มาสองคน…แถมต้องเก็บตังค์ไว้กินเบียร์แบบฉันนี่…ไม่ไหวค่ะ
สรุปคือไปป่าแทงโกโก้คราวนี้ ขอเหมารถต่อวันสำหรับการเดินทาง (คิดเฉพาะวันที่ใช้รถ) จ้างเฉพาะไกด์ดูนกจ่ายค่าหัวต่อวัน และทุกอย่างที่เหลือ จ่ายตามจริง เราได้คุณไกด์ดูนกตัวจริงคนท้องถิ่นหมู่บ้าน Batuputih เป็นคนขับรถและนำทางให้ ชื่อคุณบ๊อบบี้ เนื่องจากแกเป็นไกด์ดูนกอาชีพ ค่าหัวเลยแพงหน่อย แกคิด 50US$ ต่อวันน่ะ ส่วนค่ารถ แกเอารถญาติแกมาให้เช่าคิดวันละห้าแสนรู… รวมค่าน้ำมัน จะไปไหนก็บอก ซึ่งจริงๆก็ใช้แค่สองวันคือวันไป กับวันกลับออกจากป่า จะไปขึ้นเครื่องไปที่อื่นต่อ…
วันเดินทางออกจากรีสอร์ท ก็ออกเดินทางปกติ…ไม่มีอะไรพิเศษ ฮ่า ฮ่า สบายตรงที่ไม่ต้องแบกเป้ไปเบียดคนขึ้นรถประจำทางไง แต่เช้าและบ่ายวันนั้นทั้งวัน หมดไปกับการหาซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ ไปที่อื่นๆในเมืองมานาโด เพราะต้องไปซื้อที่บริษัทสายการบินสองที่ (ราคาดีสุด) ซื้อที่บริษัททัวร์เขาบวกเพิ่มน่ะ รอซื้อตั๋วแต่ละที่ก็นานเชียว รถในเมืองก็ติดอีกต่างหาก…เพราะซื้อตั๋วเดินทางทั้งหมดได้ ทริปก็เลยดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพราะรู้แล้วว่า วันไหนจะเดินทางไปไหน เวลาระหว่างนั้นก็…เข้าป่า ดูนก…เย้…หลุดจากเมืองมาได้ก็บ่ายกว่าๆ ถนนเลาะเลี้ยวไปตามทาง ผ่านหมู่บ้านเล็กบ้างใหญ่บ้าง จนเริ่มเข้าเขตภูเขานั่นล่ะ…การจ้างไกด์ดูนก (ครั้งแรกในชีวิต) ขับรถด้วยก็เป็นประโยชน์ตอนนี้ เพราะแกหยุดรถให้ทันทีที่มีนกที่น่าสนใจผ่านมาให้เห็น…แถมบอกชนิดให้เสร็จสรรพ ซึ่งถ้านั่งรถประจำทางคงไม่ได้หยุด หรือมองไม่เห็นด้วยซ้ำ และถ้าเห็นก็ต้องเสียเวลามานั่งเปิดหาอีก เพราะเป็นนกใหม่ล้วนๆ หรือถ้าเห็นไม่ชัด ก็เซ็งอีกเพราะไอเดนไม่ถูก…อะไรแบบนั้น (อ้อ แต่พี่แกไม่ช่วยเรื่องการซื้อตั๋วอะไรในเมืองเลยนะ ขับรถพาไปอย่างเดียว แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะฉันก็อยากติดต่อซื้อเอง ถามหลายๆอย่างจะได้ตัดสินใจถูก แต่บางที่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นี่สิ…พี่แกก็ไม่เห็นมาช่วยเลย เฮ้อ)
จุดแวะก่อนถึงหมู่บ้านริมป่าจริงๆที่ฉันชอบมาก คือหุบมหัศจรรย์ที่เรียกว่า Tamboan Overlook นั่นล่ะ อยู่ระหว่างทางบนเขา มองลงไปเห็นหุบ กับเทือกเขาเบื้องหลัง รอดูมันตรงนั้นล่ะ ทั้งนกเงือก นกหก นกนู่นนกนี่บินผ่านไปผ่านมาตรึม…แถมยังได้เห็นรุ้งโค้งสวยงามทั้งวงอีกต่างหาก…ฝนตกปรอยๆอ่ะ…จากจุดนั้นประมาณเกือบชั่วโมงก็ถึง Batuputih หมู่บ้านริมป่าริมทะเล แทงโกโก้มีป่าที่ราบต่ำอยู่ติดทะเลด้วยนา…แน่นอนที่พักเจ้าเก่าเป็นที่กล่าวถึงของบรรดานักดูนกทั้งหลายที่นี่คือ Mama Roo’s Homestay ดูเหมือนทุกคนจะมาพักที่นี่หมดน่ะ ค่าที่พักรวมอาหารสามมื้อขึ้นอยู่กับห้องพัก ถ้าห้องเก่าก็ถูกหน่อย ห้องใหม่ก็แพงขึ้น ฉันเลือกห้องกลาง (ไม่ใช่ขนาดห้อง แต่สร้างขึ้นมารุ่นกลาง ไม่ใช่บ้านไม้ไผ่รุ่นเก่า และก็ไม่ใช่ห้องรุ่นใหม่สุด หรือห้องที่ใหม่กว่าที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ราคาห้องละ สองแสนห้ารู…รวมอาหารสามมื้อตามที่บอก ราคานี้ต่อห้องไม่ใช่ต่อหัว คุณบ๊อบบี้แกกลับไปนอนที่บ้านได้ ก็เลยไม่ต้องจ่ายค่าที่พักให้แกไง…ห้องสุดเบสิค มีเตียงสองเตียง เตียงใหญ่มีมุ้ง เตียงเล็กอยู่ริมหน้าต่างด้านหน้าของห้องไม่มีมุ้ง มีโต๊ะหนึ่งตัว มีห้องน้ำด้านหลังห้อง เป็นแบบตักอาบ ตักราดส้วม ถังเดียวกัน…จบ อ้อมีพัดลมตัวจิ๋วแบบที่คนไทยใช้เป่าเล็บให้แห้งในร้านทำผมหนึ่งตัว ซึ่งไร้ค่ามากโดยเฉพาะตอนกลางวัน ดีนะที่ตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างสบายกว่าเล็กน้อย ถ้าเปิดหน้าต่าง…แต่ที่หมู่บ้านนี้ก็ใช่ว่าจะมีที่พักที่นี่ที่เดียวนะ ยังมีอีกสองสามแห่งอยู่ติดๆกันนี่ล่ะ แต่ไม่ได้ลองเข้าไปเลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นลักษณะเดียวกัน
อาหารเย็นมื้อแรก ก็โอเคมีกับข้าวสองสามอย่าง อร่อยพอควร (แต่เอาน้ำพริกไปเผื่อไว้ก็ดีนะ) เรื่องอาหารที่มามารูส์นี่เป็นไปตามรายงานของพวกนักดูนก คือยิ่งอยู่นานอาหารจะห่วยแตกขึ้นเรื่อยๆ เพราะวันหลังๆ มันไม่อลังการเท่าวันแรกเลย อย่างอาหารเช้าวันแรกนี่จะเป็นข้าวผัดไข้เจียวหั่น พอมาวันที่สอง มีแต่กล้วยกับขนมปังแห้งๆ (ไม่ปิ้ง) น่ะ…อ้อ ค่าเบียร์ที่นี่ขวดละ 28,000 รูแน่ะ แพงกว่าที่รีสอร์ที่มานาโดอีก แถมต้องรีบๆสั่งกินนะ เพราะถ้ามีแขกกลุ่มอื่นเข้ามาตอนเย็น เบียร์จะหมดก่อนอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็ไม่เย็นน่ะ ตัวคุณแม่ Roo แกไม่ค่อยพูด หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่รู้ แต่จะมีเด็กหนุ่มๆคนหนึ่งที่คล่องแคล่ว ยิ้มแย้ม มีอะไรก็ถามน้องคนนี้แหละ แกทำให้ทุกอย่าง มารยาทก็ดี ขอโทษขอโพยตลอด ถ้าแกทำอะไรช้า หรือลืมอะไรที่ฉันบอกไป แกถึงกับเข้าไปปลอบโยนนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ที่มีปัญหากับพวกไกด์ในหมู่บ้าน เป็นเรื่องราวใหญ่โตด้วยล่ะ เรื่องของเรื่องเท่าที่สรุปได้คือสองคนนี่แกมาแบบแบ็คแพ็คเกอร์ คือนั่งรถสาธารณะมาเอง พอมาถึงแกก็เดินตามหมู่บ้าน สอบถามเรื่องไกด์พาเข้าป่า แกคงไปคุยกับหลายคนเพื่อสอบถามราคามั้ง แต่ทุกคนที่แกคุยด้วยจะเข้าใจว่า ตัวเองจะได้รับจ้างหมด มันก็เลยเป็นเรื่องที่หลัง สองคนนี่แกก็บอกว่า แค่เข้าไปสอบถาม แต่คนที่นี่เข้าใจว่าไปติดต่อแล้วน่ะ อันนี้เป็นบทเรียนจริงๆ เพราะฉันก็อ่านเจอหลายที่ ว่าคนที่นี่ ถ้าเราไปถามอะไร เขาจะนึกว่าเราตกลงใช้หรือจ้างเขาแน่ๆแล้ว ต้องย้ำกันให้หนักแน่นว่า ยังไม่ตกลงนะ…ถามไว้ก่อน…อะไรแบบนั้น จำไว้ จำไว้…
ส่วนเรื่องดูนก มาที่นี่หลักๆคือ หาดูนกกลางคืนพวกตบยุงกับ Owl ตอนค่ำ เช้ากับบ่ายก็เดินดูนกในอุทยานฯ กับอีกทางเลือกคือบ่ายเหมาเรือออกไปดูนกที่ป่าชายเลน ซึ่งฉันก็ทำทั้งสองอย่างคือเดินป่า กับขึ้นเรือ (ค่าเหมาเรือสี่แสนรู) ส่วนจะเจอนกอะไร เด็ดไหมนั้น อยู่ที่โชคด้วยละมั้ง แต่คุณไกด์ของเราก็หูไว ตาไว้ ทำเสียงนกได้ ก็เลยได้เห็นนกหลายชนิดเด็ดๆอยู่ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่ได้แก ก็อาจจะไม่ได้เห็น เช่น Maleo, Sulawesi Creasted Myna และพวกวงศ์นกแก้วทั้งหลายที่ซ่อนตัวโคตรมิดชิดเลยอ่ะ ถ้าไม่ส่งเสียงร้อง เป็นต้น โดยเฉพาะการเข้าไปเดินเทรลในป่า ซึ่งเดินเองคงไม่ได้ และที่ขาดไม่ได้ของป่าที่นี่คือ การออกไปดูเจ้าลิงจิ๋วทาร์เซีย ออกจากรังไปหากินนั่นเอง ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่ที่ง่ายที่สุดที่จะได้เห็นเจ้าตัวนี้แล้ว เพราะพิทักษ์ป่าและไกด์ท้องถิ่นรู้จักต้นไทรที่เป็นรังของพวกมัน การจะไปดูก็ต้องออกเดินก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อไปรอดูพวกมันออกจากรังก่อนมืดนั่นล่ะ ขอบอกว่าน่ารักมากจริงๆ ได้เห็นใกล้ๆด้วย เจ้านี่เป็นสัตว์ตัวหนึ่งที่ฉันอยากเห็นมานานแล้ว และก็ได้เห็นสมใจ และจุใจด้วยล่ะ เย้…
บอกแล้วว่าจะไม่เขียนเรื่องนกมาก เพราะหาอ่านที่ไหนๆก็ได้ บทความตอนนี้ก็คงใกล้จบลงด้วยประการฉะนี้…อีกนิดที่ต้องระวังมาก (แต่คงระวังไม่ได้) สำหรับที่แทงโกโก้ (ฉันว่าที่มาม่ารูส์นี่แหละ ไม่ใช่ในป่า) คือแมลงล่องหน คือไม่รู้ว่าตัวอะไร มองไม่เห็นตัว ฝรั่งเขาว่ามันเป็นตัวอ่อนของเห็บที่ invisible ที่มันจะรุมสะกรำตัวของพวกเรา จนเป็นตุ่มแดงๆคันคะเยอเป็นอาทิตย์ๆเลยล่ะ ฉันโดนไปเต็มๆ ตรงบริเวณที่ใส่ถุงเท้า และกางเกงในน่ะ คิดดู…แต่มาออกอาการเอาเมื่อวันจะกลับจากป่าที่นี่แล้ว ป่าอื่นๆหลังจากนี้ก็ไม่โดน แต่ผลจากการมาที่นี่เป็นที่แรก ทำให้ฉันคันไปตลอดทริปการเดินทาง และจนบัดนี้ด็ยังมีรอยแผลเป็นเป็นตุ่มดำๆ เต็มขา รอบเอว และ…อยู่เลย ที่ฉันว่ามันน่าจะมาจากที่พัก เพราะจากตำแหน่งที่พวกมันกัดแล้ว มันน่าจะสิงสถิตย์อยู่ตามเสื้อผ้า แล้วเราไปสวมใส่ มากกว่าที่จะมากัดตรงที่มันไม่ได้ป้องกันน่ะ
สุดท้าย ถ้าเบื่อป่า ลองเดินเล่นหมู่บ้านก็ดีนะ น่ารักดีที่เดียว เหมือนหมู่บ้านในนิทานอย่างไรไม่รู้ แถวๆริมทะเล เครื่องมือชาวประมงพื้นบ้านก็แปลกแตกต่างจากชาวประมงเมืองไทยเหมือนกัน โดยเฉพาะแพอวนกระต๊อบที่ลอยลำกันอยู่กลางทะเลน่ะ…เห็นแล้ว อยากขึ้นไปนอนดูสักคืน ฮ่า ฮ่า ขอจบกันดื้อๆแบบนี้แหละ…ติดตามตอนต่อไป เมื่อ…มีอารมณ์จะเขียนละกัน เพราะตอนนี้ว่างงานมาก เวลาคงมีอยู่แล้วแต่ขี้เกียจ…
