
Olkhon Island (เกาะโอลคอน) คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกและใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ตั้งอยู่ในเขตไซบีเรียตะวันออกของประเทศรัสเซีย มีรูปร่างยาวและแคบแบบเดียวกับทะเลสาบ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 730 ตร.กม. โดยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณ 71 กิโลเมตรและส่วนกว้างที่สุดประมาณ 20 กว่า กม. ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบ ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์จาก Irkutsk (เอียร์คุสต์) ประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่รวมแวะพักกินข้าว ไปถึงจุดลงเรือเฟอร์รี่ที่จะข้ามไปทางตอนใต้ของเกาะ จากนั้นใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการข้ามเรือเฟอร์รี่ (ถ้าเป็นปลายฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็งก็สามารถขับรถบนน้ำแข็งลุยมาถึงที่เกาะเลยได้) เมื่อไปถึงบนเกาะ ส่วนใหญ่จะใช้รถตู้ที่ผลิตในรัสเซีย UAZ-452 4WD ซึ่งลุยได้ทุกที่และซ่อมง่ายแบบที่นิยมในมองโกลเลีย เพราะรถสามารถตะลุยถนนที่ขรุขระไปยังที่พัก ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Khuzhir (คูเซียร์) หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะตั้งอยู่ประมาณกลางๆเกาะ โดยใช้เวลาจากท่าเรือประมาณ 1 ชม.
Olkhon Island เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมง และเคยเป็นสถานที่ตั้งโรงงานทำปลากระป๋องในสมัยโซเวียตยูเนี่ยน เมื่อโซเวียตล่มสลาย โรงงานก็หายตามไปด้วย รายได้หลักในปัจจุบันนอกจากการประมงแล้วก็มาจากการท่องเที่ยว บนเกาะมีประชากรประมาณ 1,700 คน เกินกว่า 80% อาศัยอยู่ใน Khuzhir ที่เหลือกระจัดกระจายตามหมู่บ้านเล็กๆบนเกาะ พวกเราเดินทางมาถึงที่พักกึ่งรีสอร์ทเล็กๆกึ่งโฮมสเตย์ซึ่งอยู่ในเมืองนี้เอาตอนเย็นๆ หลังจากออกเดินทางจากเมือง Irkutsk มาตั้งแต่เช้า ที่หมู่บ้านนี้ (และบนเกาะนี้) มีเกสต์เฮ้าส์ครั้งแรกเมืองประมาณ 20 กว่าปีมานี่เอง แสดงถึงการเข้ามาของนักท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากทะเลสาบไบคาลได้รับความนิยมสำหรับคนเอเชียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในฤดูหนาวที่ผิวหน้าทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งให้ขับรถตะลุยมาถึงเกาะได้ และในช่วงฤดูกาลอื่นที่ใช้วิธีข้ามเรือมา ทำให้ที่นี่มีที่พักในรูปแบบต่างๆมากขึ้นกว่าเดิม และกระจายตัวออกไปมากกว่าเดิม แทนที่จะกระจุกอยู่แต่ในตัวเมือง ในช่วงฤดูร้อนเกาะแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เที่ยวแบบเอ้าท์ดอร์ เทรคกิ้ง ตั้งแคมป์ ขี่จักรยานวิบาก ฯลฯ ของชาวรัสเซียอีกด้วย
เนื่องจากมาถึงเอาเย็นย่ำ เมื่อแวะเก็บของเข้าห้องพักได้ไม่นาน พวกเราเลยรีบออกไปชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาว Buryat (ชาวพื้นเมืองเชื้อสายมองโกลที่อาศัยอยู่ในไซบีเรีย) ที่เรียกว่า Shamanka หรือ Shaman Rock กันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน กองหินขนาดใหญ่ริมทะเลทางด้านตะวันตกของเกาะใกล้ๆ กับหมู่บ้าน Khuzhir ที่แหลม Burkhan (เบอร์ข่าน) แห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวพุทธฯ และเหล่า Shaman แห่ง Buryat ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพื้นเมืองมาตั้งแต่อดีตเป็นพันๆปีก่อนที่ตัวเกาะจะเป็นที่รู้จักของคนนอกอย่างเช่น ชาวโคแซ็ก (รัสเซีย) ที่ข้ามมาถึงเกาะครั้งแรกในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ซึ่งในปัจจุบัน Shaman Rock แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Landmark ของเกาะที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูป ในช่วงที่ฉันไปเป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม น้ำแข็งในทะเลสาบไบคาลยังละลายไปไม่หมด ยังคงเห็นเหลือเป็นแผ่นๆลอยเป็นแพอยู่ริมในทะเลสาบริมหาด ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า อากาศก็หนาวเย็นเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดแรงและแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว บริเวณใกล้ๆกับ Shaman Rock จะมีเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นับถือผูกผ้าหรือธงมนต์สีสันสดใสเรียงกันเป็นแถว เพื่อแสดงการศักการะเทพเจ้า และภูติผีที่ปกปักษ์รักษาผืนดินแห่งนี้ คล้ายประเพณีที่พบเห็นได้ทั่วไปในมองโกลเลียและทิเบต รวมถึงในไซบีเรียตะวันออกแห่งนี้ที่มีพื้นที่เชื่อมต่อหล่อหลอมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน



ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ จะให้ดีคือการได้เข้าไปอาบน้ำ/อบตัวในโรงอาบน้ำรวมแบบรัสเซีย ที่เรียกกันว่า Banya (บานญา) แม้ว่าในห้องพักจะมีน้ำฝักบัวร้อนๆให้อาบก็ตาม โชคดีที่ที่พักของพวกเรามีบานญาเป็นของตัวเอง พวกเราเลยจองโรงอาบน้ำไว้ตั้งแต่มาถึงก่อนออกไปเดินเล่น เพราะเขาต้องใช้เวลาในการจัดการเตรียมบานญาให้พวกเรานานโขอยู่ ณ จุดนี้ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่าบานญาคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไรกันบ้างเวลาเข้าไป… Banya (บานญา) เป็นชื่อเรียกการอาบน้ำแบบรัสเซียซึ่งมีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Russian Spa หรือไม่ก็ Sauna โดยมีห้องอบตัวที่ทำให้ร้อนจัด (บางทีก็ถึง 100 องศา) ด้วยเตาก่อหินใช้ถ่านไม้ มีห้องอาบน้ำราดน้ำเย็นหลังเข้าอบตัว และห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านนอกสุด รวมถึงห้องสังสรรระหว่างนั่งพักรออบตัวรอบต่อไป โดยจะมีโต๊ะยาวเก้าอี้ไว้นั่งคุย และที่สำคัญมีชาให้จิบระหว่างนั้น โดยการเข้า Banya นั้นจะเข้ากันเป็นกลุ่ม/ครอบครัว ถอดเสื้อผ้าออกหมด โดยจะมีผ้าชีทให้คลุม/ห่อตัวเวลานั่งอบในห้องหลายๆคนพร้อมกัน เมื่อรู้สึกร้อนมากเหงื่อไหลไคลย้อย ก็จะออกมาราดน้ำเย็นที่ห้องอาบน้ำด้านนอก ออกมานั่งจิบชา คุยโขมงโฉงเฉงกันไป ใครอยากเข้าอบตัวใหม่อีกรอบก็ตามสบาย แต่พิธีกรรมที่สำคัญคือการเรียงคิวเข้ารับการเฆี่ยน หรือ Paritsya (แปลตามตัวคือการนำความร้อนเข้าร่างกาย)…จริงๆก็คือการฟาดตัวด้วยอุปกรณ์สำคัญคือกิ่งใบไม้ของต้น Birch (เบิร์ช) หรือใบต้น Oak (โอ๊ค) แล้วแต่จะหาได้ในพื้นที่มัดรวมกัน เรียกว่า Venik (เวอร์นิค) โดยคนฟาดจะราดน้ำลงบนหินร้อนของเตาเพื่อให้เกิดไอร้อนในห้องยิ่งขึ้น เอา Venik แช่น้ำจนชุ่ม แล้วสบัดน้ำจากใบไม้พรมลงบนหลังก่อนฟาดใบไม้ไปตามตัวของผู้ที่ถูกฟาดที่นอนรออยู่ (โดยก่อนหน้านี้ ผู้ถูกฟาดจะถอดผ้าห่อตัวมาวางบนเก้าอี้ยาวในห้องอบ (กันร้อนจากเก้าอี้) แล้วนอนเปลือยราบลงไปรอรับการฟาด) กลิ่นน้ำมันหอมระเหยอ่อนๆจากใบไม้จะโชยเข้ามาในจมูก พร้อมทั้งซึมซาบเข้าสู่ร่างกายจากการถูกฟาด สักพัก ก็ออกมาอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย นั่งสังสรร รอคนอื่นๆในกลุ่มผ่านการถูกเฆี่ยนจนครบ…อ้อ ทุกคนควรต้องใส่หมวกผ้าสักหลาดเพื่อคลุมศีรษะเวลาเข้าห้องอบ เพื่อกันศีรษะไม่ให้ร้อนจนเกินไปด้วย!…พวกเราใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมงสำหรับกลุ่ม 4-5 คนในพิธีกรรมการอาบน้ำแบบนี้ หลังผ่าน Banya รูขุมขนจะเปิดกว้าง ตัวแดงก่ำ (ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างช่วงสังสรรรอ แต่ควรจิบชาร้อน ช่วยผ่อนคลาย) แต่จะรู้สึกตัวเบา โล่ง สบาย เหมือนแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น อากาศที่ว่าหนาวๆข้างนอก ก็เลยไม่หนาวอีกต่อไป
อีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่เกาะนี้คือการใช้เวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆ ในการนั่งรถตู้รัสเซียตะลุยทางเหนือของเกาะ Olkhon ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Pribaikalsky Nature Reserve (เขตสงวนธรรมชาติพรีไบคาลสกี้) อันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติไบคาล โดยหยุดแวะจ่ายค่าเข้าอุทยานฯที่สำนักงานในเมืองก่อน จากนั้นก็ค่อยๆลุยขึ้นเหนือผ่านป่าสนไปแวะจุดชมวิวแรกที่หมู่บ้านเล็กๆอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากๆ โตรกหน้าผาสีน้ำตาลตัดกับน้ำแข็งบนทะเลสาบ มองเห็นวิวออกไปกว้างไกลแบบพานอราม่า จากนั้นก็ไปต่อโดยหยุดแวะชมวิวถ่ายรูปเป็นจุดๆ เนื่องจากเส้นทางผ่านด้วยภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แบบมองโกลเลีย ป่าสนไทก้า (Taiga) ที่มีต้นสนที่เรียกว่าลาร์ช (Larch) เป็นพืชเด่น ป่าต้นเบิร์ช (Birch) ทะเลทรายแบบเห็นเป็น Sand Dune ริมชายฝั่ง ทุ่งหญ้าสเต็ปป์ และภูเขาทุ่งหญ้าโล้นๆที่เห็นภูมิทัศน์กว้างไกล คนขับจะพาแวะตามจุดชมวิวต่างๆ เช่น Three Brothers Rocks แท่งหินขนาดใหญ่สามก้อนริมหน้าผา ที่มีตำนานประมาณว่าสามพี่น้องมีพ่อเป็นพ่อมดหมอผี แปลงลูกชายให้เป็นนกอินทรีย์อิสระเริงร่าอยู่ดีๆ ลูกชายดันผิดวาจาที่ให้ไว้กับพ่อ เลยถูกสาปให้เป็นก้อนหินสามก้อนแทน หรือชมภูมิทัศน์แบบ Sand Dune ที่ใกล้ๆหมู่บ้าน Peschanaya (เพสชานาย่า) ที่แต่เดิมเคยเป็นโรงงานผลิตปลากระป๋องมีคนงานเป็นนักโทษการเมืองสมัยโซเวียตยูเนี่ยน (ที่เรียกกันว่า Gulag) และจุดชมวิวต่างๆไปจนถึงจุดเหนือสุดที่แหลม Khoboy (คอบอย) แปลว่า “เขี้ยว” เพราะหน้าผาสุดปลายแหลมมีรูปร่างเหมือนเขี้ยวสัตว์ โดยจะมีเวลาให้เดินชมวิวไปจนสุดปลายแหลม ก่อนเดินกลับมาที่จุดนัดปิคนิคกินข้าวเที่ยงกันในป่าสน โดยคนขับรถของพวกเรานี่เองเป็นคนหุงหาจัดเตรียมอาหารไว้ให้ ซึ่งเมนูเด่นก็คือซุปร้อนๆที่ใช้ปลาจากทะเลสาบสดๆมาทำ





ระหว่างเส้นทางเดินต่างๆในช่วงเดือนนี้ สังเกตดีๆจะเห็นดอกไม้ป่าต่างๆมากมาย ทั้งดอกสีแดงเล็กๆของสนลาร์ช ดอกหญ้าชนิดต่างๆ ดอกไอริช และที่น่าตื่นตาตื่นใจคือทุ่งดอก Snowflowers ที่เรียกแบบนี้เพราะดอกไม้สีออกม่วงๆขาวๆนี้จะบานแย้มออกมาเป็นดอกแรกๆหลังจากที่หิมะละลาย อีกทั้งยังมีสัตว์ป่าน่ารักอย่างกระรอกดินหางยาว (Long-tailed Ground Squirrel) วิ่งขึ้นลงรูให้ได้เห็น แต่สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในระหว่างเส้นทางท่ามกลางความงามตามธรรมชาติ คือไม่ควรเดินออกนอกเทรลปกติที่คนอื่นๆเขาเดิน โดยเฉพาะในบริเวณทุ่งหญ้าที่เพิ่งขึ้นใหม่ๆ เนื่องจากช่วงฤดูนี้เป็นช่วงที่เห็บป่าระบาด ซึ่งเห็บป่าไซบีเรียนี่เป็นพาหะนำโรคไลม์ (Lyme Disease) ที่ค่อนข้างร้ายแรงพอสมควร แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักกัน หากถูกเห็บที่นี่กัดจึงควรไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
เมื่อไปจนจรดจุดเหนือสุดของเกาะแล้ว รถก็จะวนกลับลงมาที่หมู่บ้าน โดยวนออกไปทางทิศตะวันออกของเกาะก่อน เพื่อเยี่ยมชมจุดชมวิวอีกแห่งที่ชื่อ Heart Rocks ที่มีหน้าผาหินมองเห็นเป็นรูปหัวใจ ก่อนตีรถกลับเข้าเส้นทางเดิม ระหว่างทางนี้ ถ้ามองเห็นตรงไหนสวยงามถูกใจ ก็สามารถบอกให้หยุดรถลงไปถ่ายรูปกันได้ ไม่ว่าเส้นทางจะหฤโหดแค่ไหนก็ตามดูเหมือนว่ารถตู้ที่นั่งก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ในทุกสภาพพื้นผิวและทุกสภาพอากาศ (ตามคำบอกของคนขับ) ความงดงามของ Olkhon Island เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เดินทางมาถึงทะเลสาบไบคาลแล้วต้องการชื่นชมธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทัศนียภาพอันงดงามมองเห็นได้กว้างไกล และความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่ พร้อมประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆบางจุดที่น่าสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น ความงามของแต่ละฤดูกาลก็แตกต่างกันออกไปจนหลายๆคนต้องกลับไปเยือนอีกครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของปี สมกับที่เกาะแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเพชรเม็ดงามแห่งไซบีเรียกันเลยทีเดียว
