เชื่อว่าในปัจจุบัน ผู้หลงใหลในญี่ปุ่นน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคำว่า “Hanami” (ฮานามิ) ที่ไม่ใช่ยี่ห้อข้าวเกรียบกุ้ง แต่หมายถึงวัฒนธรรมการชมดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และก็เชื่อว่าคนไทยอีกไม่น้อยที่เลือกที่จะวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงที่ซากุระบานกัน ถึงกับมีปฏิทินทำนายช่วงเวลาที่ซากุระบานในแต่ละที่ออกมากันทุกปี แต่ในช่วงที่หลายประเทศต่างปิดประเทศตัวเอง รวมถึงผู้คนต่างระงับการเดินทางอันเนื่องมาจาก Covid-19 แบบนี้ หลายๆคนคงต้องล้มเลิกการเดินทางไปชมดอกซากุระที่ญี่ปุ่นโดยถ้วนทั่วหน้าในปีนี้ คราวนี้เลยขอนำเรื่องราวของฤดูซากุระบานที่ญี่ปุ่นมาฝากกันพอให้หายคิดถึง
ครั้งนี้ฉันขอเลือกเมือง Hirosaki (ฮิโรซากิ) ในจังหวัด Aomori (อาโอโมริ) ทางตอนเหนือสุดของเกาะฮอนชูมาแนะนำกัน ที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นหนึ่งใน Top 3 สถานที่มีชื่อเสียงเรื่องซากุระบานในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีความพิเศษขนาดที่ว่า แม้คนญี่ปุ่นด้วยกันเองยังมีคำกล่าวกันว่า “ต้องมาชมซากุระบานที่ Hirosaki ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต!” มาดูกันสิว่าซากุระบานที่นี่มีความพิเศษกว่าที่อื่นอย่างไร ทำไมชาวญี่ปุ่นถึงเชื่อกันว่าต้องมาชมให้ได้สักครั้งในชีวิต?
จุดที่มีชื่อเสียงในการชมดอกซากุระบานที่สวยงามก็คือบริเวณรอบๆบริเวณปราสาทฮิโรซากิ โบราณสถานที่สำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนั่นเอง ปราสาทฮิโรซากิดั้งเดิมสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1611 ในยุคเอโดะ สมัยที่โชกุนรวมถึงนักรบซามูไรเรืองอำนาจ โดยผู้ปกครองที่เป็นใหญ่ตามหัวเมืองต่างๆพากันสร้างปราสาทป้อมปราการของตัวเอง ฮิโรซากิก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ต่อมาได้เกิดไฟไหม้ใหญ่ ปราสาทหลัก 5 ชั้นถูกทำลายลง มีเพียงอาคาร 3 ชั้นที่เรียกกันว่าเทนชู (Tenchu) ตั้งอยู่ริมกำแพงหินรอบปราสาทที่ยังคงหลงเหลือมาจนปัจจุบัน โดยมีการบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1810 ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นปราสาทเก่าในยุคเอโดะแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในเขตภูมิภาคโทโฮกุ (Tohoku) หรือภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น และในบริเวณสวนอันกว้างใหญ่ของตัวปราสาทนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของซากุระอันมีชื่อเสียงของจังหวัดและของประเทศ
ว่ากันว่าเมล็ดซากุระ 25 เมล็ดแรกได้ถูกนำมาจากเกียวโตมาปลูกไว้ในบริเวณปราสาทแห่งนี้ในปี ค.ศ. 1715 อย่างไรก็ดี ต้นซากุระเหล่านี้ได้ถูกตัดทิ้งในสมัยเมจิ (ศตวรรษที่ 19) ไปพร้อมๆกับปราสาทที่หมดความสำคัญลงเมื่อขุนนางผู้ปกครองหมดอำนาจ พื้นที่บริเวณสวนของปราสาทที่เคยเป็นที่หวงห้ามสำหรับประชาชนทั่วไป กลายเป็นที่เดินเล่นที่ใครๆก็เข้าๆออกๆได้ จนซามูไรนักรบเก่าที่เคยรับใช้ขุนนางที่เป็นใหญ่ในบริเวณนี้ ได้ริเริ่มให้มีการปลูกต้นซากุระสายพันธุ์ Somei-Yoshino ในบริเวณปราสาทเป็นจำนวน 1,000 ต้น ในปี ค.ศ. 1882 (ซึ่งในปัจจุบันยังมีซากุระอายุกว่าร้อยปีเหล่านี้ หลงเหลืออยู่ที่นี่ถึง 300 กว่าต้น ต้นซากุระ Somei-Yoshino ที่เก่าแก่ที่สุดมีเส้นรอบวงลำต้นถึง 5.37 เมตรและยังคงผลิดอกบานให้เห็นทุกปี) ในเวลาต่อมาสวนโดยรอบปราสาทฮิโรซากิ ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นสวนสาธารณะฮิโรซากิ (Hirosaki Park) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองในปี ค.ศ. 1895 ในช่วงปี ค.ศ. 1901-1903 ได้มีการปลูกเพิ่มอีก 1,000 ต้น ตามนโยบายของสภาเทศบาลเมืองในสมัยนั้นซึ่งมีลูกหลานของตระกูลซามูไรจากสมัยปราสาทฮิโรซากิเรืองอำนาจเป็นผู้ปกครองเมืองในยุคสมัยใหม่ และมีการปลูกต่อๆ กันมาหลังจากนั้นเป็นระยะๆ จนในปัจจุบันบริเวณสวนฮิโรซากิแห่งนี้มีต้นซากุระอยู่มากมายถึง 2,600 กว่าต้น และมีสายพันธุ์มากกว่า 50 สายพันธุ์





ความพิเศษของซากุระของที่นี่ อยู่ตรงที่ซากุระเหล่านี้ได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกแอปเปิ้ล ผลไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดอาโอโมรินั่นเอง ในสมัยก่อน การตัดแต่งกิ่งต้นซากุระหรือต้นเชอร์รี่เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะมีความเชื่อกันว่าต้นซากุระโดยปกติอ่อนแอเมื่อตัดแต่งแล้วดูแลไม่ดีก็มักจะติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้ลำต้นอ่อนแอและตายลงได้ การตัดแต่งกิ่งต้นซากุระจึงดูเหมือนเป็นเรื่องต้องห้ามที่เชื่อต่อๆกันมา จนอยู่มาวันหนึ่งต้นซากุระเก่าแก่แห่งปราสาทฮิโรซากิแห่งนี้ออกอาการอ่อนแอ ทำท่าจะไม่ออกดอกออกผล ผู้จัดการที่ดูแลสวนฮิโรซากิในตอนนั้นอดรนทนไม่ไหว เนื่องจากครอบครัวแกมีสวนแอปเปิ้ลและปลูกต้นแอปเปิ้ลกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แกเลยนำเอาเทคนิคการตัดแต่งต้นแอปเปิ้ลที่สืบทอดกันมากว่า130 ปีของชาวสวนแอปเปิ้ลในแถบนี้ มาตัดแต่งต้นซากุระอ่อนแอต้นนั้น ปรากฏว่าต้นซากุระต้นนั้นกลับมาแข็งแรงและออกดอกเต็มต้นเหมือนเดิม ความกล้าที่จะขบถต่อธรรมเนียมการปลูกซากุระแบบดั้งเดิมของแกได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้นซากุระแห่งฮิโรซากิจึงได้รับการดูแลและตัดแต่งกิ่งด้วยเทคนิคเดียวกับการปลูกต้นแอปเปิ้ลอันมีชื่อเสียง ผลก็คือต้นซากุระของที่นี่มีการแผ่กิ่งก้านสาขาในแนวราบแบบแอปเปิ้ล (เทคนิคนี้ทำเพื่อให้กิ่งก้านโดนแดดได้กว้างๆและเพื่อให้เก็บผลได้ง่าย แทนที่จะเป็นลำต้นสูงขึ้นไป) และออกดอกลงมาต่ำกว่าซากุระในที่อื่นๆ ช่อดอกที่ปกติจะมีเพียง 3-4 ดอก แต่ซากุระที่นี่ช่อดอกหนึ่งมีดอกติดถึง 5-7 ดอก ทำให้ยามเมื่อซากุระบานและออกดอกเต็มต้นแล้วจะดูเต็มๆ แน่นๆ สวยงามกว่าต้นซากุระทั่วไปตามปกติ นอกจากนี้ยังมีกิ่งก้านที่ยื่นขยายออกทางด้านข้างลงมาต่ำๆ ก็ทำให้ถ่ายรูปได้อย่างใกล้ชิดและสวยงามกว่าปกติ (เทคนิคนี้ถูกนำไปใช้กับต้นซากุระในที่อื่นๆในประเทศญี่ปุ่นเองและในต่างประเทศหลายๆแห่งในเวลาต่อมา)
การดำรงอยู่ของตัวปราสาทเก่า คูเมืองโดยรอบ และภูเขาอิวากิ (Mt. Iwaki) ที่อยู่ใกล้ๆ กับต้นซากุระที่มีดอกแน่นขนัดกว่า 2,600 ต้น ทำให้เมืองฮิโรซากิมีชื่อเสียงในด้านการชมดอกซากุระในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์ซากุระริมคูเมืองทางฝั่งตะวันตกของตัวปราสาท สะพานข้ามคูน้ำสีแดงสีเขียวตัดกับดอกซากุระและตัวปราสาท การนั่งเรือชมวิวซากุระ หรือการเป็นจุดชมวิวซากุระที่มองเห็นภูเขาหิมะเป็นฉากเบื้องหลังไปด้วย รวมถึงการ light-up ตกแต่งไฟในเวลากลางคืน ในช่วงที่ทางเมืองจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระซึ่งอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์สองอย่างที่อยากกล่าวถึงในที่นี้ ซึ่งมีความสวยงามน่าหลงใหลเป็นที่สุดโดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นที่นี่ เนื่องจากความหนาแน่นของดอกซากุระและกลีบซากุระที่มากกว่าปกติตามที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง หนึ่งคือ ”หิมะกลีบซากุระ” หรือที่ภาษาญี่ปุ่นมีชื่อเรียกว่า Hana Fubuki (ฮานะฟุบุคิ) หรือ Sakura Fubuki (ซากุระฟุบุคิ) คือปรากฏการณ์ในขณะที่มีลมพัดในช่วงที่ซากุระบานเต็มที่ ทำให้กลีบสีชมพูอ่อนๆอันบางเบาของดอกซากุระหลุดล่องลอยทั่วไปในอากาศดูราวกับปุยหิมะที่ปลิ้วพริ้วไปมาตามแรงลม ให้ความรู้สึกสุดแสนโรแมนติกไม่ต่างจากหิมะที่ตกลงมาจริงๆท่ามกลางดอกซากุระเต็มต้น และอีกหนึ่งคือ Hana Ikada (ฮานะอิคาดะ) “พรมกลีบดอกซากุระสีชมพู” ที่กลีบดอกซากุระจากต้นที่เรียงรายอยู่ริมคูคลองตกลงมาปกคลุมผิวน้ำที่อยู่ในคูคลองจนมิด ดูราวกับเป็นถนนหรือพรมสีชมพูที่เต็มไปด้วยกลีบดอกซากุระที่น่าประทับใจเกินคำบรรยาย สองปรากฏการณ์นี้ใช่ว่าที่อื่นจะไม่มี แต่ที่นี่พิเศษกว่าเนื่องจากลำต้นมีดอกซากุระที่หนาแน่นกว่าเกือบสองเท่าตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมีลมพัดจนกลีบซากุระมากมายตกลงไปปกคลุมผิวน้ำจนเห็นเป็นพรมแล้วนั้น ดอกซากุระบนต้นก็ยังมีเหลืออยู่ให้เห็นแบบเต็มๆ (ในขณะที่ที่อื่น ต้นซากุระอาจดอกเริ่มโกร๋นหรือมีใบเขียวอ่อนๆขึ้นมาแล้ว กว่าที่พื้นน้ำจะกลายเป็นพรมได้) อย่างไรก็ดี การจะเห็นปรากฏการณ์ทั้งสองนี้ต้องอาศัยโชคจากลมฟ้าอากาศและการอยู่ถูกที่ถูกเวลาเป็นตัวช่วยในขณะไปเยี่ยมชมด้วย
อนึ่ง ในปัจจุบัน ตัวปราสาทฮิโรซากิอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมฐานกำแพงหิน ตัวปราสาทที่เคยอยู่ชิดแนวกำแพงได้ถูกเคลื่อนย้ายไปตั้งอยู่กลางเนินห่างจากจุดเดิม 70 เมตรตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 (เป็นการเคลื่อนย้ายด้วยเทคนิคพิเศษไปทั้งตัวปราสาทโดยไม่มีการรื้อถอนตัวปราสาทลงมาหรือทุบทิ้งแบบที่โบราณสถานบางแห่งที่เป็นข่าวดังอยู่ในเมืองไทย) ตัวปราสาทยังคงให้เข้าชมได้ตามปกติแต่ไม่ได้อยู่ในจุดเดิมที่จะสามารถถ่ายภาพคลาสสิคของฮิโรซากิ อันได้แก่ภาพถ่ายดอกซากุระบานสะพรั่งกับสะพานแดงและตัวปราสาทได้ อย่างไรก็ดี เขามีกำหนดจะเคลื่อนย้ายปราสาทกลับมาที่จุดเดิมประมาณปีหน้านี้ แต่ยังคงมีการซ่อมแซมฐานกำแพงหินต่อไปอีกประมาณ 4-5 ปี ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมานั้น คุณจะไม่ได้เห็นเลย หากไม่มาให้ถูกจังหวะเวลาของแต่ละปี ซึ่งช่วงฤดูการบานของซากุระในบริเวณนี้โดยปกติคือประมาณปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละปีด้วย ทางที่ดีที่สุดคือคอยดูพยากรณ์ดอกซากุระบานในช่วงที่บานเต็มที่ของ Hirosaki เอาไว้ ยิ่งถ้าต้องการชม “พรมกลีบดอกซากุระสีชมพู” ในคูเมืองด้วยแล้ว จำเป็นต้องอัพเดทข้อมูลรายวันทั้งเวลาและสถานที่จากเว็บไซด์การท่องเที่ยวของเมืองเอาไว้ในช่วงที่อยู่ที่นั่น (ปกติจะอยู่ประมาณหลังช่วงพีคดอกไม้บานเต็มที่ 3-4 วัน) แต่อย่าลืมว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของคนญี่ปุ่นด้วย ยิ่งถ้าคาบเกี่ยววันหยุดยาว Golden Week (ต้นเดือนพฤษภาคม) ของชาวญี่ปุ่นด้วยแล้ว การวางแผนล่วงหน้าเรื่องที่พัก การเดินทางและการทำการบ้านเรื่องจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด คงเป็นเรื่องจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้… สุดท้ายนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบดอกซากุระแล้วละก็ คุณไม่ควรพลาดที่จะมาชมดอกซากุระบานที่ Hirosaki Park แห่งนี้ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต It is a must!