Terschelling Island in the Northern Netherlands

Brandaris, the oldest lighthouse in the Netherlands, and West-Terschelling village.

เมื่อพูดถึงการมาท่องเที่ยวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ คิดว่าผู้คนส่วนใหญ่ก็จะนึกไปถึงแต่ภาพทุ่งดอกทิวลิป สวนดอกไม้ กังหันลม ฟาร์ม ชีส คูคลองในเมืองหลวง และการขี่จักรยาน คงไม่มีใครคิดถึงเรื่องการไปเที่ยวเกาะหรือชายหาดเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่เกาะของประเทศเนเธอแลนด์โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศนั้น มีลักษณะค่อนข้างพิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะอยู่ในทะเลที่เรียกกันว่า Waddenzee (วาเดิ้นเซ) หรือ Wadden Sea (ทะเลวาเดิ้น) อันมีลักษณะเฉพาะของระบบที่ราบที่น้ำทะเลขึ้นถึงที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะเป็นหาดทรายและหาดเลนที่ถ้าน้ำลงก็จะเห็นเป็นเวิ้งสันดอนทรายขึ้นมา ในขณะที่น้ำขึ้นก็จะอยู่ใต้ทะเล โดยมีร่องน้ำลึกไหลผ่านบางส่วนไปเชื่อมต่อกับทะเลเหนือ ในที่นี้ฉันขอแนะนำหนึ่งในเกาะที่เป็นที่นิยมของชาวดัชต์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งชายทะเล ป่าชายหาด หาดเลน หาดทราย สัตว์ป่า และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกทั้งเป็นที่ตั้งของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายร้อยปีและมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผู้มาเที่ยวชมสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่การนอนเล่นริมหาดเท่านั้น เกาะนี้มีชื่อเรียกยากๆ ว่า Terschelling Island (เกาะแทร-สเคลลิงค์ ที่ต้องออกเสียงตัว “ร” ลิ้นรัวๆ และตัว “ค” เหมือนขากเสลด)

            ฉันเดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้โดยการนั่งเรือเฟอร์รี่มาจากท่าเรือเมือง Harlingen (ฮาร์ลิงเงิ้น) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (หากนั่งเรือเร็วจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที) พอออกจากท่าเรือก็จะเห็นเรือสำเภากางใบและเรือใบหรูๆ แล่นสวนกันไปมาเป็นระยะๆ แสดงให้เห็นถึงกระแสลมในน่านน้ำแถบนี้ได้เป็นอย่างดี เรือเฟอร์รี่จะเข้าจอดที่ท่าเรือ West-Terschelling ทางตะวันตกของเกาะ ซึ่งเมื่อมาถึงจะเห็นประภาคารอันถือเป็นแลนด์มาร์กของเกาะตั้งโดดเด่นอยู่ ประภาคารที่ว่ากันว่าเป็นประภาคารที่เก่าแก่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์นี้มีชื่อว่า Brandaris (บรันดาริส) โดยตัวประภาคารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1594 หลังจากที่ประภาคารแรกสุดที่สร้างขึ้นในปี 1323 ถูกน้ำทะเลท่วมและพังทลายลงในปี 1590 ตัวประภาคารตั้งอยู่ในหมู่บ้าน West-Terschelling ที่ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะ (มีประชากรประมาณสองพันกว่าคน จากประชากรทั้งหมดเกือบๆ ห้าพันคนบนเกาะ)

อย่างไรก็ดี พอมาถึงเกาะ ฉันนั่งรถเมล์ต่อไปยังหมู่บ้าน Oosterend (โอสเตอร์เอ็น) ทางตะวันออกของเกาะก่อน โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง สำหรับระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร หลังจากจัดแจงเช็คอินเข้าที่พักที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้า ก็ออกไปเช่าจักรยานเอาไว้ใช้ตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ทางด้านนี้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เนื่องจากทั้งเกาะมีทางจักรยานให้สามารถขี่ชมวิว จ่ายตลาด ซื้อของ ฯลฯ ได้เกือบรอบเกาะ หากไม่ได้ขี่เลียบถนนเส้นหลัก (ที่รถเมล์วิ่ง) ก็สามารถขี่เข้าไปในเทรลที่จะผ่านทุ่งหญ้า ป่าชายหาด และเนินทราย โดยมีจุดชมวิวเป็นจุดๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างดี

หมู่บ้านนี้อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติ De Boschplaat (เดอ บอสช์ปลาต) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “เขตพื้นที่ป่า” ที่กินพื้นที่ทางด้านตะวันออกสุดของเกาะ ซึ่งจะมีส่วนที่ไม่อนุญาตให้ขี่จักรยานเข้าไป เพราะบางฤดูจะเป็นช่วงทำรังวางไข่ของนกหลายชนิด ฉันจึงขี่จักรยานไปซื้อทัวร์นั่งรถลากเทียมม้าสามตัว (จากหมู่บ้าน Hoorn (ฮอร์น) หมู่บ้านใหญ่ค่อนมาทางตะวันตกของเกาะ) โยกเยกผ่านหมู่บ้านเล็กๆ รายทาง ผ่านเข้าไปในเขตอุทยานฯ ที่ถือเป็นเขตสงวนทางธรรมชาติของยุโรป (European Nature Reserve) ลัดเลาะไปตามเส้นทางจนมาตัดออกทางชายหาดทางฝั่งด้านเหนือที่ติดกับทะเลเหนือไปจนสุดเกาะทางตะวันออก เป็นชายหาดที่เวิ้งว้างยาวเหยียดที่ไม่เห็นขยะเลยสักชิ้น แต่ลมแรงมากๆ ระหว่างที่หยุดพัก เดินเล่นได้มีโอกาสเห็นแมวน้ำดำผุดดำว่ายอยู่ใกล้ๆ ชายหาดด้วย ก่อนจะนั่งรถม้าไปจอดกลางทุ่งหญ้า ไกด์จัดแจงก่อไฟต้มน้ำชงชากาแฟให้ดื่ม พร้อมกับรับประทานอาหารกลางวัน (ที่ต้องนำติดตัวไปเอง)

ขากลับ ทางไกด์จะให้พวกเราเดินไปตามเทรลที่กำหนดไว้ตัดข้ามทุ่งดอกไม้ของที่ลุ่มชายหาดที่สวยสุดๆ ผ่านเขตผสมพันธุ์วางไข่ของนกนางนวลเฮอร์ริง (Herring Gull) กับนกนางนวลหลังดำเล็ก (Lesser Black-backed Gull) และนกน้ำอื่นๆ บางชนิด (ตรงจุดนี้รถม้าก็วิ่งผ่านไม่ได้) ที่มีนกบินวนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่มากมายไปยังหาดเลนทางด้านใต้ของเกาะติดกับ Wadden Sea รถม้าก็จะมารับที่ทางด้านหาดเลนแล้วพาลุยเลนชมนก ชมไม้ไปตามหาดก่อนตัดเข้าทุ่งหญ้าของอุทยานฯ เพื่อกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เป็นทัวร์ที่ดีงามเอามากๆ วิวสวย นกเยอะ แดดแรงแต่อากาศเย็นจนหนาวเพราะลมแรง แต่ถ่ายรูปจากบนรถม้าไม่ค่อยได้เพราะโขยกเขยกตลอดทาง คนขับรถม้าซึ่งก็คือไกด์ก็คุยนู่นนี่อธิบายไม่หยุดตลอด 7 ชั่วโมงการเดินทางไปกลับประมาณ 20 กิโลเมตร เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นซึ่งคือชาวดัตช์ทั้งหมด ก็ตอบโต้หัวเราะกันคิกๆ คักๆตลอดทาง ก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันเพราะมีฉันคนเดียวที่ฟังไม่ออก…

บางวัน ฉันได้ปั่นจักรยานไปกลับประมาณ 15 กม. ไปตามชายหาดฝั่ง Wadden Sea (ทางด้านใต้) เพื่อดูนกต่างๆ และตามหาถ่ายรูปนกปากช้อนหน้าขาว (Eurasian Spoonbill) ที่ในภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า Lepelaar (เลเปอลาร์) ที่ค่อนข้างหาดูได้ยากในเมืองไทย แต่ก็ได้ของแถมเป็นลูกเด็กเล็กแดงของนกอีกหลายชนิด จนไปถึงหมู่บ้าน Midsland (มิดสแลนด์) แถวตรงกลางๆ เกาะ แวะกินแครนเบอร์รี่ชีสเค้กหน้าอาคารเก่าแก่เกือบ 400 ปีในหมู่บ้าน แครนเบอร์รี่เป็นเบอร์รี่ที่ขึ้นชื่อของเกาะ จะเห็นผลิตภัณฑ์มากมายที่ทำจากแครนเบอร์รี่วางขายอยู่ตามร้านขายของที่ระลึกในหมู่บ้าน แต่จริงๆแล้ว แครนเบอร์รี่ไม่ใช่พืชพื้นเมืองของเกาะ แต่เป็นผลไม้ที่ชาวเกาะได้มาจากถังใส่แครนเบอร์รี่ที่ลอยมาติดที่เกาะจากเรือของสหรัฐอเมริกาที่ล่มลงในทะเลแถบนี้ ในปี 1840 ชาวบ้านเก็บถังนี้ได้เปิดดู ชิมแล้วโยนเมล็ดทิ้งบนเกาะ เมล็ดเติบโตจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจอันขึ้นชื่อของเกาะมาจนถึงปัจจุบัน

ใช่ว่าจะมีแต่แครนเบอร์นี่เท่านั้น บ้านและโรงนาต่างๆ บนเกาะ ก็สร้างมาจากไม้ที่มาจากซากเรือจม เรือล่มที่ลอยมาติดเกาะทั้งนั้น เพราะบนเกาะเองไม่มีต้นไม้สูงๆ ที่ใช้ปลูกสร้างบ้านได้แต่อย่างใด ของตกแต่งประดับสวนต่างๆ ก็เป็นวัตถุจากเรือจมรูปแบบต่างๆ ที่ลอยมาติดชายหาดของเกาะแทบทั้งนั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเกาะนี้ถูกล้อมรอบด้วยเรือจมทั้งเก่าและใหม่เป็นร้อยๆ ลำ (สาเหตุหลักมาจากพายุและลมแรงในทะเลแถบนี้) ชาวบ้านที่นี่จึงมีอาชีพที่เรียกว่า beachcomber (บีชคอมเบอร์-นักหาของตามชายหาด) มาแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากกฎหมายของที่นี่อนุญาตให้เก็บของจากเรือจมที่ถูกคลื่นลมพัดมาติดบนชายหาดเป็นของตัวเองได้ตามอัธยาศัย แม้แต่พิพิธภัณฑ์เรือจม Wrakken Museum (วรัคเคิ้นมิวเซียม) บนเกาะก็ตั้งอยู่ในโรงนาเก่าที่สร้างขึ้นจากซากเรือ Cyprian (ไซเปรียน) ของนอร์เวย์ที่จมลงในปี 1905 ตัวพิพิธภัณฑ์จัดแสดงความเป็นมาของทีมดำน้ำของเกาะที่เริ่มดำกันมาตั้งแต่ปี 1976 และสิ่งของต่างๆที่เก็บได้ตามชายหาดและจากการดำน้ำของทีมดำน้ำหาเรือจม (ที่ดำพบมากกว่า 150 ลำ) กล่าวกันว่า ไม่เคยมีการดำน้ำครั้งใดที่ทีมดำน้ำจะกลับบ้านมือเปล่าเลย ตัวอย่างเรือจมบางลำที่มีชื่อเสียง เช่น เรือ Lutine ที่จมลงในปี 1799 ที่ว่ากันว่าเป็นเรือที่ขนทองคำมาด้วยแต่ยังไม่ถูกค้นพบ เรือ OKA-118 ของรัสเซียที่ชนกับเรืออื่นจมเมื่อปี 1966 ที่ชื่อเรือถูกนำมาใช้เป็นชื่อบาร์แห่งหนึ่งบนเกาะ หรือในปี 2006 ตู้คอนเทนเนอร์ที่เต็มไปด้วยรองเท้ากีฬา ไหลตกลงมาจากเรือ Mondriaan (มอนดริอาน) ในช่วงที่มีพายุทำให้อยู่ดีๆ ก็มีรองเท้ากีฬาเป็นพันๆ คู่ถูกคลื่นลมพัดเข้ามากองเกลื่อนกลาดอยู่บนชายหาดบนเกาะ เป็นต้น

หลังจากพักผ่อนอยู่ในบ้านเช่าทำอาหารกินเองทางด้านตะวันออกของเกาะเป็นหลักมาเป็นอาทิตย์ ฉันย้ายตัวเองมากินดีอยู่ดีในหมู่บ้านทางตะวันตกของเกาะ นอนโรงแรมใน 2 วันสุดท้ายก่อนกลับ จึงต้องเปลี่ยนจากการขี่จักรยานตะลุยทุ่งและชายหาดที่เช่ามาทั้งอาทิตย์ มาใช้สองเท้าเดินชมเกาะแทน โดยเริ่มจากโรงแรมผ่านเข้าป่าสนเล็กๆ ชมหลุมหลบภัยเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (เกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงแอตแลนติกของกองทัพนาซี) ก่อนเดินเข้าหมู่บ้าน West-Terschelling ที่มีอาคารเก่าๆ ร้านอาหาร ร้านค้า ฯลฯ ใกล้ๆกับประภาคารที่เก่าแก่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ ได้ชิมหอยแมลงภู่อบไวน์ขาวเลิศหรู เบียร์คราฟต์ท้องถิ่น และแวะดื่มกาแฟที่ร้านในอาคารที่ว่าการฯ และศาลเก่าของเกาะที่นำมาตกแต่งได้อย่างเก๋ไก๋น่าสนใจ ก่อนเดินย้อนเลาะชายหาดกลับโรงแรม ชมประติมากรรมจากหินแกรนิตลาบราดอร์มีค่าจากสแกนดิเนเวียที่กู้ได้จากหนึ่งในเรือจมเป็นร้อยๆ แถวหน้าเกาะ และถูกนำมาแกะสลักเป็นประติมากรรมหกชิ้นจัดแสดงอยู่ในสวนสาธารณะริมหาด

ก่อนร่ำลาจากเกาะแห่งนี้หนึ่งวัน ฉันได้ขึ้นเรือกู้ภัยเก่าที่เขาเอามาทำเป็นเรือท่องเที่ยวพาออกไปชมแมวน้ำ โดยมีอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วพาไปชม แกเล่าว่าตัวเรือถูกใช้งานกู้ภัยมาร่วม 40 ปีตั้งแต่ช่วงปี 1928-1970 และได้ช่วยชีวิตผู้คนมากว่า 500 คน ก่อนจะถูกปลดระวางและนำมาใช้พานักท่องเที่ยวไปชมแมวน้ำที่ดำผุดดำไหว้และนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนแนวสันทรายระหว่างเกาะ Terschelling และเกาะ Vreiland (ฟรีลันด์) บริเวณร่องน้ำรอยต่อระหว่าง Wadden Sea และทะเลเหนือ แมวน้ำที่นี่มีสองชนิดคือ Harbour Seal (หน้าทู่ๆ) กับ Grey Seal (หน้าแหลมๆ) ถือเป็นการชมแมวน้ำในธรรมชาติอย่างใกล้ชิด โดยใช้เวลาออกเรือไปกลับประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง เป็นการปิดทริปเกาะ Terschelling ของตัวเองอย่างน่าประทับใจก่อนขึ้นเรือเฟอร์รี่กลับฝั่งในวันถัดไป…

Leave a comment