Western Sichuan II: Along S303 Road from Danba to Luhuo

หลังจากพาไปเยี่ยมเยียนแดนสวรรค์แห่ง Danba (ตันปา) กันไปแล้วในบทความก่อน คราวนี้พวกเราออกเดินทางจากพื้นที่ Danba ไปทางทิศตะวันตกของมณฑลเสฉวนต่อไปอีก โดยใช้ถนนสาย S303 เป็นเส้นทางหลัก เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้จองโรงแรมล่วงหน้า จึงเข้าทำนองว่าค่ำไหนนอนนั่นก็ว่าได้ พวกเราวางเป้าหมายหลักต่อไปที่เมือง Ganzi หรือ Garzê (กานจือ) แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ออกจาก Danba แล้ว ด้วยระยะทางเพียง 230 กว่ากิโลเมตรบนถนน S303 ไปสิ้นสุดที่เมือง Luhuo (หลูฮั่ว) นั้น พวกเรากลับใช้เวลากันสองวันเต็มๆกว่าจะไปถึง เนื่องจากความสวยงามของธรรมชาติและทัศนียภาพ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยระหว่างทาง ได้ฉุดความสนใจของคนต่างถิ่นอย่างพวกเราให้แวะนั่นแวะนี่ตลอดเส้นทาง

            ถนนสาย S303 หลังจากที่ออกจากเมือง Danba จะเลาะเลี้ยวไปตามแม่น้ำ Donggu (ตงกู่) โดยผ่านแก่งและน้ำตกใหญ่น้อยตลอดเส้นทางระยะแรก ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี สลับกับบ้านสีขาวๆ ขอบแดงๆ สไตล์ทิเบต แบบที่เห็นใน Danba บางช่วงก็มีสะพานสลิงพาดข้ามแม่น้ำที่มีธงมนต์สีสันสดใสผูกเป็นกระจุกๆ เรียกได้ว่าถ้าขืนหยุดถ่ายรูปกันทุกจุดที่เห็นว่างามๆแล้วละก็ คงจะเดินทางกันเชื่องช้าแบบเต่าคลานกันเลยทีเดียว ระหว่างทางพวกเราเห็นป้าย Yak Tibetan Village (Mao Niu Village) เลยให้คนขับเข้าไปดู จอดรถได้ก็ลงไปเดินเล่น เห็นเป็นหมู่บ้านสไตล์ทิเบตเล็กๆที่เราเห็นกันมาก่อนหน้านี้ แต่เดินได้สักพักก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดภาษาจีนใส่ และนำพาพวกเราเข้าไปในบ้าน ท่าทางจะให้ดูลักษณะการตกแต่งบ้านภายในแบบทิเบต แต่เผอิญว่าพวกเราคุ้นเคยมาก่อนแล้วจากเส้นทางที่ผ่านมา ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาก สักพักเขาเลยไปเปิดลิ้นชักเอา “ถั่งเช่า” ตากแห้ง สมุนไพรวิเศษจากเชื้อรายอดฮิตมานำเสนอแทน ฉันได้แต่ขอถ่ายรูปและขอตัวออกมาเดินในหมู่บ้านต่อแทน สิ่งที่เรียกร้องความสนใจให้พวกเรากลับเป็นไร่นาปลูกพืชผักริมลำธารแสนสวยที่ทอดยาวมาจากเทือกเขาเบื้องหลัง กับต้นพริกไทยเสฉวนที่ตอนแรกก็ไม่แน่ใจและไม่รู้ว่าจะถามใคร ก็เลยเด็ดเมล็ดที่หน้าตาคล้ายพริกไทยจากต้นนั่นมาลองเคี้ยวกันเลย ได้ผล ทั้งลิ้นทั้งริมฝีปากชากันไปเป็นแถบๆยิ่งกว่ากินหม่าล่าในเมืองไทย

หลังจากออกจากหมู่บ้าน เส้นทางจะลัดเลาะไปตามเขาไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จากที่เห็นเป็นไร่ข้าวโพดบนพื้นที่ราบๆ ก็เริ่มเข้าสู่ป่าผลัดใบ และป่าสน จนไปถึงที่สูงเกินกว่า 3,500 เมตร ซึ่งมีจุดจอดรถชมวิวภูเขาหิมะ Ya La (ย่าลา) ที่มียอดเขาสูง 5,820 เมตร ตัดกับทุ่งหญ้าเขียนขจีและธงมนต์ที่ผู้ศรัทธานำมาผูกเอาไว้แถวจุดชมวิวเพื่อนมัสการเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ณ จุดพักรถชมวิวแบบนี้ นอกจากทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือของที่ชาวบ้านเอามาวางขายนั่นเอง นอกจาก หม่าล่าบาบีคิวที่กินกันร้อนๆท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นแล้ว ยังมีผลไม้และถั่วต่างๆ รวมไปถึงของป่าอย่างน้ำผึ้งที่จับตัวเป็นก้อน ถั่งเช่า สมุนไพรต่างๆและตัวเดียวอันเดียวของวัว (จู๋วัว) ให้ได้ทายกันอย่างขบขันกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยการสื่อสารบอกใบ้กันด้วยการทำท่าทางเพราะต่างคนต่างคุยกันไม่รู้เรื่อง…

เมื่อถนนเริ่มไต่ลงเขา นอกจากความสวยงามของทัศนียภาพที่ยังมีให้เห็นได้ตลอดเวลาแล้ว สิ่งที่เป็นที่น่าสังเกตอย่างเห็นได้ชัดคือบ้านเรือนแบบทิเบตในอีกสไตล์หนึ่ง ซึ่งสร้างจากท่อนซุงทาสีออกน้ำตาลแดงๆ แทนที่จะเป็นกำแพงขาวๆแบบที่ผ่านมา ให้ความรู้สึกแปลกตาไปอีกแบบ …ฉันเชื่อว่าตัวเองได้เข้าสู่ดินแดนที่เรียกว่าแคว้น Kham (คาม) ของชาวทิเบตอย่างเต็มตัว Kham เป็นชื่อเรียกดินแดนภูมิภาคหนึ่งของทิเบตในสมัยก่อนที่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสฉวนตะวันตกของจีนนั่นเอง แม้ว่าเส้นแบ่งเขตและการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป แต่วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก วัฒนธรรมแบบทิเบตจึงมีให้เห็นตลอดทางมากกว่าความเป็นจีนในปัจจุบัน… ย้อนกลับมาที่เส้นทางของพวกเรา ทุ่งดอกไม้ป่าตามภูเขาทุ่งหญ้า ม้า จามรี และธงมนต์รูปแบบต่างๆ มีผ่านตาให้ได้เห็นตลอดเส้นทาง คราวนี้เราไต่ระดับไปสูงสุดที่ 3,800 เมตรได้ ในระหว่างเส้นทางที่เริ่มลัดเลาะลงเขามานั้น มีอยู่จุดหนึ่งที่มองไปเห็นที่ราบสูงเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยทุ่งดอก Rapeseed (ผักกาดก้านขาว) สีเหลืองสด (เอามาทำน้ำมันคาโนล่า) กว้างสุดลูกหูลูกตา แถมยังมีหลังคาสีทองๆของวัดขนาดใหญ่ (monastery) อยู่ไกลๆ เรียกได้ว่าระหว่างนั่งเพลินอยู่ในรถ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงอู้ฮู้ของทุกคนอุทานออกมา ก่อนหาที่จอดลงไปถ่ายรูปกันทันทีเลยทีเดียว

หลังจากผ่านเมือง Bamei (ป้าเหม่ย) กันมาได้ ก็เข้าสู่เมือง Dawu (ต้าอู่) ที่ในที่สุด เราก็หาโฮมสเตย์ที่พักคืนนี้เจอ จากข้อมูลภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิดที่สมาชิกของพวกเราหามาได้ หลังจากวนเวียนวกวน งงๆ จนเกือบจะทะเลาะกับคนขับกันเป็นชั่วโมง ตัวบ้านซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ หาไม่เจอจนเจ้าของบ้านต้องออกมาหน้าปากซอยยืนโบกให้ พอไปถึงบ้านก็ตะลึงกับความเป็นบ้านสไตล์ทิเบตที่อลังการงานสร้างมาก แถมอยู่กลางเมืองที่กลายวัฒนธรรมไปเป็นตึกใหญ่ๆแบบจีนเสียส่วนมากแล้วด้วย เจ้าของใจดี คุยกันคนละภาษาแบบงูๆปลาๆกันได้อย่างออกรสมาก จนขอถ่ายรูปกันหลายสิบรูป ก่อนที่พวกเราจะลาจากเดินทางต่อกับเส้นทาง S303 ช่วงสุดท้าย ก่อนถึงเมือง Luhuo

เส้นทางช่วงสุดท้ายของถนนเส้นนี้ ยังคงเลาะลำน้ำอยู่ แต่แตกต่างคนละอารมณ์กับเมื่อวาน เนื่องจากเป็นแม่น้ำคนละสาย (แม่น้ำ Xianshui (เซียนสุ่ย)) ที่ไหลมาตามหุบเขาอันเป็นที่ราบบนความสูงสามพันกว่าเมตรเสียส่วนใหญ่ มองเห็นทุ่งหญ้าบนเขาสูงๆ อยู่ไกลๆ ทุ่งข้าวสาลี ดอกไม้ป่า กับหมู่บ้านสวยๆระหว่างทาง ยังคงเรียกร้องให้พวกเราหยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างทางบางแห่งจะเห็นธงมนต์สีสันสดใสผูกเป็นกลุ่มๆ มีเต๊นท์ขาวๆ วางเป็นจุดๆ ดูเหมือนมีงานรื่นเริงเป็นระยะๆโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่างานอะไร จนรถผ่านไปยังกลุ่มเต๊นท์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากถนนมากนัก พวกเราตัดสินใจให้คนขับเลี้ยวเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นชาวบ้านจับกลุ่มนั่งกินนู่นกินนี่กัน มีทั้งเต๊นท์แบบชั่วคราว และแบบค่อนข้างถาวร มีโต๊ะมีโซฟา มีธงสายผูกโยงตามต้นไม้ คงมีงานเทศกาลรื่นเริงอะไรกันแน่ๆ พวกเราเลยกะว่าจะไปหาซื้ออาหารรองท้องกันเลย หลังจากเดินเข้างานไปแบบงงๆ ด้วยความแปลกหน้าแปลกตาของพวกเรา มีแม่บ้านที่จับกลุ่มตั้งโต๊ะคุยกันพร้อมลูกเด็กเล็กแดงวนเวียนอยู่ ต่างกวักมือเรียกพวกเราเข้าไปร่วมวงด้วยกันใหญ่ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอาหารเครื่องดื่มยกใหญ่ ทั้งนมเปรี้ยวโฮมเมด (Curd) เอามาจิ้มขนมปัง ผลไม้ เมล็ดธัญพืชต่างๆ ฯลฯ เต็มโต๊ะ ดูเหมือนเขามาปิคนิคกันนั่นเอง ด้วยข้อจำกัดทางภาษาเลยไม่รู้แน่ว่าเขาจัดงานรื่นเริงอะไร แต่มารวมตัวกันเป็นครอบครัวกลุ่มใหญ่ๆ ท่าทางจะรู้จักกันหมด เด็กๆก็วิ่งเล่นกันไป สักพักก็มีเปิดเพลง แม่บ้านต่างไปล้อมวงเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน (แน่นอนว่าพวกเราถูกลากเข้าไปร่วมวงด้วย) จนได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนชี้ให้พวกเราไปที่เต๊นท์ขนาดใหญ่ที่มีคนทำอาหารในหม้อขนาดใหญ่หลากหลายชนิด ต่างคนต่างมาตักอาหารไปรับประทานกัน แต่สำหรับพวกเรา เขาคะยั้นคะยอให้นั่งกินที่โต๊ะในเต๊นท์อาหารนั่นเลย จนอิ่มหนำสำราญและต้องขอตัวออกจากงาน ก่อนจะหลวมตัวไปร่วมกิจกรรมอื่นๆต่อจนไม่ได้ไปไหน…

ถนนสาย S303 มาสิ้นสุดที่เขตตัวเมือง Luhuo หรือที่เรียกว่า Dran-go ในภาษาทิเบต (แปลรวมๆว่าหน้าผามองโกเลีย เนื่องจากดินแดนแถบนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพมองโกเลียมาก่อน ที่นี่พวกเราได้แวะเข้าไปชมวัดขนาดใหญ่บนเขา มองเห็นได้แต่ไกลที่มีชื่อตามป้ายว่า Shouling Temple (โส้วหลิงซื่อ) หรือในภาษาทิเบตว่า Drango Gompa ที่มีประวัติเก่าแก่มากว่าพันปี แต่ตัววัดถูกทำลายลงตามประวัติศาตร์ของกาลเวลาและแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในปี ค.ศ. 1973 สิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนที่บูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1982 แม้ว่าตัววัดจะมีขนาดใหญ่ มีทั้งส่วนพุทธาวาสและสังฆาวาส มีพระพุทธรูปสไตล์ทิเบตขนาดใหญ่ มีภาพวาดเขียนสี และทังกะที่งดงามและเก่าแก่ มีที่ประทับของดาไลลามะองค์ที่ 13 มีเณรลามะตัวน้อยๆกำลังเล่าเรียนหนังสือ และอื่นๆอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างถูกห้ามไม่ให้ถ่ายรูปทั้งหมด จึงไม่สามารถนำมาลงให้เห็นในที่นี้ได้ จะยกเว้นก็แต่รูปตัวอาคารด้านนอก และวิวของตัวเมือง Luhuo อันงดงามที่มองจากชั้นบนของวัดเท่านั้น

จากทางแยกที่ตัวเมือง Luhuo นี่ พวกเราจะเริ่มเข้าสู่ถนนหลวงสาย G317 แต่จะยังคงมุ่งหน้าไปต่อทางทิศตะวันตก…ช่วงเวลาสองวันกับเส้นทางที่ผ่านมาโดยไม่เคยคาดคิดว่าจะเจออะไรระหว่างทางนั้น ทำให้ฉันนึกถึงคำคมในหมู่นักเดินทางที่เคยได้ยินมาว่า “Enjoy the journey, not the destination.” และรู้สึกตามเช่นนั้นจริงๆ …จุดหมายปลายทางไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย สำหรับการเดินทางในดินแดนต่างถิ่นแบบนี้…

Leave a comment