เช่นเดิม…บทความที่เขียนลงนิตยสารฉบับหนึ่งไว้จ๊ะ…ความจริงจะเขียนรวมฮาโกดาเตะเข้าไปด้วย แต่เนื้อที่ไม่พอ (จำกัดหน้าในนิตยสาร) เลยตัดออก แต่ในรูปเอาลงไว้ให้ดูเล่นด้วยจ๊ะ…
ในยุคที่ใครๆต่างก็อยากไปเที่ยวญี่ปุ่น แถมไปแล้วก็อยากไปซ้ำแบบนี้ ถ้าฉันไม่อินเทรนด์เอาประเทศนี้มาแนะนำกันบ้าง ก็คงจะตกยุคไปไม่น้อย อย่ากระนั้นเลย เราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่า จะไปทั้งที จะไปแต่เส้นทางยอดฮิตโตเกียว ภูเขาไฟฟูจี หรือโอซาก้า ก็กระไรอยู่ ฉันขอพาขึ้นไปเกาะเหนือสุดของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งนี้กันเลย…เกาะฮอกไกโด เป็นเกาะหนึ่งในสี่เกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเกาะฮอนชู (ที่ตั้งเมืองหลวงทั้งเก่าและใหม่อย่างเกียวโต โตเกียว) และกินพื้นที่มากกว่าหนึ่งในห้าของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ ทั้งๆที่มีประชากรอาศัยอยู่น้อยนิดเพียงแค่ประมาณ 5-6% ของประชากรทั้งญี่ปุ่นเท่านั้น พื้นที่กว้างใหญ่แต่ไร้ความหนาแน่นของผู้คนแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีธรรมชาติที่โดดเด่นเป็นแน่แท้ ทั้งภูเขาไฟ ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ เทือกเขา ทะเลสาป บ่อน้ำแร่ฯลฯ ต่างประกอบขึ้นมาเกาะสวยงามแห่งนี้ แต่ฮอกไกโดคงไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนภายนอก ห่างขาดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนไป ในครั้งนี้ ฉันจึงขอแนะนำเมืองไม่ใหญ่ไม่โตแต่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของฮอกไกโด ที่มีร่องรอยกลิ่นไอของอารยธรรมยุโรปในสมัยปฏิรูปเมจิที่ทำให้เกาะนี้เป็นที่รู้จักของคนต่างชาติมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นเปิดประเทศและรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาหลังจากปิดตัวเองอยู่ในเกาะมาเป็นศตวรรษ
ยุคสมัยเมจิของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1868-1912) ถ้าเทียบกันง่ายๆ ก็คงคล้ายๆกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของประเทศไทย (ซึ่งก็อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน) เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเปิดกว้างรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาค่อนข้างมาก ศิลปะวิทยาการต่างๆ รวมไปถึงสถาปัตยกรรม และการสร้างบ้านแปลงเมือง จึงมีอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกเข้ามามีบทบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเกาะฮอกไกโดก็ไม่เป็นที่ยกเว้น จากเกาะเงียบสงบที่มีแต่ป่าเขา โดยมีชาวไอนุ ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของเกาะอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ ได้ถูกพัฒนาพื้นที่ขึ้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ รวมไปถึงการพัฒนาการประมง และการทำเหมือง จนไปถึงการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การทำไม้ และโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ แทบทุกอย่างได้รับการวางรากฐานจากผู้เชี่ยวชาญจากตะวันตกในช่วงนี้ทั้งสิ้น นับเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อาคารเก่าๆทรงยุโรปตามเมืองท่าบนเกาะ อันได้แก่โอตารุ ฮาโกะดาเตะ รวมไปถึงเมืองที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่อย่างซัปโปโร จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันแสนโรแมนติคสำหรับคนหัวดำชาวเอเชียไปโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ในภูมิอากาศแบบหนาวเย็นทางตอนเหนือของประเทศ ยิ่งทำให้บรรยากาศน่าเยี่ยมชมเข้าไปอีก เพราะแม้จะอยู่ในฤดูร้อนก็มีอากาศเย็นสบายชวนให้เดินเล่นเที่ยวชมเมืองได้อย่างสบายใจ
คราวนี้ ฉันเดินทางมาถึงซัปโปโรในช่วงฤดูร้อน ผิดจากที่ผ่านมาๆที่มาในช่วงหนาวจัดเพื่อชมเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของเมือง สวนสาธารณะโอโดริที่ลากผ่านกลางเมืองจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก อันเป็นสถานที่จัดเทศกาลหิมะประจำปีจึงไม่ได้รับความสนใจเหมือนทุกครั้ง นอกจากการไปเดินเที่ยวซื้อของช็อปปิ้งกันที่แหล่งช็อปปิ้งที่อยู่ใต้ดินและบนดินบริเวณนั้น หรือไม่ก็ซื้อข้าวโพดกับไอศครีมของขึ้นชื่อของฮอกไกโดที่ขายกันตามแผงลอยในสวนสาธารณะในช่วงหน้าร้อนรองท้องเท่านั้น อย่างไรก็ดีแลนด์มาร์คของเมืองหลวงของเกาะฮอกไกโดแห่งนี้ อันได้แก่หอนาฬิกา (Tokei-dai) ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงก็ยังเป็นจุดที่ฉันและเพื่อนร่วมทางต้องขอแว่บเข้าไปขอถ่ายรูป เพื่อเป็นที่ระลึกว่าได้มาถึงซัปโปโรแล้วจริงๆ หอนาฬิกาเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตกตามที่ฉันเกริ่นตอนต้นเรื่อง เดิมอาคารนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1878 โดยเป็นส่วนหนึ่งของคณะเกษตรกรรม มหาวิทยาลัยฮอกไกโด แน่นอนว่าออกแบบโดยวิศวกรชาวตะวันตก ต่อมาอีกสามปีถึงได้เอานาฬิกาจากอเมริกามาติดตั้งเอาไว้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของซัปโปโรไปโดยปริยาย ในปัจจุบันด้านล่างได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กให้ได้เข้าชมด้วย
นอกจากหอนาฬิกาที่แสดงความเป็นตะวันตกแล้ว ถ้าดูแผนที่เมือง ก็จะพบว่ามีแผนผังที่เป็นระเบียบ มีถนนตัดไปตัดมาเป็นตารางสี่เหลี่ยม เดินทางไปมาสะดวก ไม่หลงง่าย เพราะเมืองนี้ถูกตั้งขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1871 โดยมีที่ปรึกษาการสร้างเมืองเป็นคนต่างชาตินั่นเอง ในปัจจุบัน แม้ว่าเมืองจะขยายใหญ่ขึ้น มีรถไฟฟ้าใต้ดินอำนวยความสะดวก และมีสิ่งต่างๆอย่างครบครัน แต่ฉันก็ยังได้เห็นรถรางที่ย้อนอดีตกลับไปในยุคสมัยเมจิที่เริ่มนำระบบรถรางมาใช้วิ่งผ่านไปมาบนถนนควบคู่ไปกับรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่นับวันจะหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆในเมืองแห่งนี้ หลังจากเดินเล่นแถวนี้ได้สักพัก ฉันรีบรุดไปที่แถวย่านซึซึกิโนะ แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีของเมือง ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งบันเทิงต่างๆ เนื่องจากกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตรอกราเม็งอันลือชื่อที่มีร้านขายบะหมี่ราเม็งของญี่ปุ่นเรียงรายอยู่เต็มถนนแคบๆจึงเป็นเป้าหมายหลักของฉัน เมื่อเลือกร้านได้ก็สั่งมิโซะราเม็งมาโจ้กันเต็มที่ เงยหน้าอีกทีจึงเห็นว่าที่กำแพงร้านนี้มีลายเซ็นคนดังติดอยู่เต็มร้านไปหมด สอบถามได้ความว่า ร้านนี้ค่อนข้างเก่าแก่และขึ้นชื่อมากร้านหนึ่งของตรอกราเม็งดั้งเดิมนี้เลยทีเดียวเชียว
โรงงานเบียร์ซัปโปโรเป็นจุดหมายต่อไป ก็จะไม่แวะได้อย่างไร ในเมื่อเบียร์ซัปโปโรเป็นเบียร์ยี่ห้อแรกที่มีการผลิตกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในญี่ปุ่น ก่อนจะมีเบียร์ยี่ห้อดังอื่นๆอีกมากมายตามมา แน่นอนว่าก่อตั้งกันก็สมัยเมจิกันอีกนั่นแหละ เมื่อชาวญี่ปุ่นได้มีโอกาสเดินทางไปเปิดหูเปิดตาในทวีปยุโรปและนำเอาวิทยาการการทำเบียร์กลับมาใช้ อย่างไรก็ดี ชื่อสถานที่ “ซัปโปโรแฟคตอรี่” ทำเอาฉันหลงกลไปผิดที่ในตอนแรก เพราะปัจจุบันจุดที่ว่านี้ กลายเป็นแหล่งช็อปปิ้งไปแล้ว โดยมีร้านรวงต่างๆมากมายตั้งเรียงรายอยู่ในตัวอาคารที่เป็นโกดังเก่าของโรงงานเรียงต่อกัน ถ้าจะศึกษาประวัติความเป็นมาจริงๆจังๆ ก็ต้องไปกันที่พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรที่ตั้งอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งห่างออกไปอีกไม่ไกล แต่จากการไปผิดที่ในตอนแรก ร้านค้าและลานเบียร์ที่กำลังอยู่ในช่วงคึกคักพอดีล่อหลอกเวลาของฉันไปหมด จนไปดูพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรกไม่ทัน ฉันได้แต่แวะเข้าไปดูตัวตึกอาคารอิฐแดงเก่าแก่กว่าร้อยปี มีรูปดาวอันเป็นตราประจำเบียร์ยี่ห้อนี้เอาตอนค่ำ แล้วก็เลยถือโอกาสนั่งหัวเหม็น ย่างเนื้อแกะเจงกิสข่านของขึ้นชื่ออีกอย่างของซัปโปโรแกล้มเบียร์กันที่โรงเบียร์แห่งนี้เสียเลย
อีกสถานที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงซัปโปโรคงหนีไม่พ้นโรงงานและพิพิธภัณฑ์ช็อคโกแล็ตชิโรอิโคอิบิโตะ ตัวขนมคุ๊กกี้สอดไส้ช็อคโกแล็ตยี่ห้อนี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นของฝากขึ้นชื่อของเมืองจริงๆ ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นแม้จะไม่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยเมจิ แต่อย่าลืมกันว่า วัฒนธรรมการกินและทำช็อคโกแล็ตก็เข้ามาที่ญี่ปุ่นครั้งแรกในสมัยนั้นนั่นแหละ ตัว Shiroi Koibito Park ที่ว่านี้ ทำเป็นธีมปาร์คโดยมีขนมขึ้นชื่อนี้เป็นตัวชูโรง นาฬิกาขนาดใหญ่ที่มีตัวตุ๊กตาคนทำขนม ออกมาเต้นระบำพร้อมเสียงเพลงตามเวลา สวนกุหลาบและดอกไม้น่ารักๆ อาคารรูปทรงยุโรปสมัยกลาง การจัดแสดงคอลเล็คชั่นถ้วยช็อคโกแล็ตที่ใช้กันตั้งแต่สมัยโบราณ โรงงานทำขนม ร้านขายขนมเค้กหน้าตาน่ารับประทาน ตลอดจนพิพิธภัณฑ์ของเล่นโบราณที่จัดแสดงอยู่ สามารถดึงเวลาให้อ้อยอิ่งในบรรยากาศสดใสร่าเริงนี้ทั้งวันได้ไม่ยาก เรียกว่ามีมุมน่ารักๆให้ถ่ายรูปกันได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบขนมด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันใช้เวลามากกว่าที่ตั้งใจไว้หมดไปกับที่นี่โดยไม่ทันรู้ตัว ถ้าไม่ติดว่า ได้วางแผนไปเที่ยวเมืองโรแมนติคข้างๆซัปโปโรในวันนี้แล้วละก็ คงได้ขอทดลองลงมือทำช็อคโกแล็ตเองที่นี่แล้วแน่ๆ
โอตารุ เป็นเมืองท่าเก่าตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากซัปโปโรไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมืองเล็กๆน่ารักๆนี้ ตั้งอยู่ที่อ่าวอิชิการิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลญี่ปุ่น หลังจากนั่งรถไฟออกจากซัปโปโรไม่นาน ทางรถไฟจะเลียบไปตามทะเลที่ว่านี้จนถึงตัวเมืองโอตารุภายในไม่เกินหนึ่งชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขบวนรถไฟที่นั่ง) ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวตั้งอยู่ที่สถานี สามารถเข้าไปรับเอาเอกสารและเส้นทางเดินชมเมืองได้ แน่นอนว่า จุดหมายหลักของทุกคนที่มาถึงเมืองนี้คงหนีไม่พ้นทางเดินโรแมนติคที่คลองโอตารุ คลองสั้นๆที่ด้านหนึ่งยังคงสภาพของโกดังเก่าแก่อยู่ กับโคมไฟประดับทางเดินริมคลอง (เดิมเป็นโคมไฟใช้แก๊ส) ร้านขายของของศิลปินข้างถนน รถลากสมัยก่อนที่คนลากมีแต่หนุ่มๆไว้ผมหล่อทรงทันสมัย สร้างบรรยากาศน่ารักๆได้อย่างดี โดยเฉพาะในยามเย็นย่ำพระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงจากโคมไฟส่องสว่าง เงาโกดังเก่าสะท้อนผิวน้ำในลำคลอง… แม้ว่าในปัจจุบันคลองโอตารุนี้จะไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ในทางคมนาคมแล้วก็ตาม แต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ทางการไม่อาจถมทิ้งได้ (คลองในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถูกถมทิ้งหมดเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้น และการขนส่งด้วยเรือขนาดเล็กตามลำคลองลดความสำคัญลง) เดิมคลองนี้คือส่วนที่ขุดต่อเข้ามาจากทะเล เพื่อให้เรือต่างๆเทียบท่า เนื่องจากเมืองนี้เติบโตมาจากเมืองประมงเล็กๆ จนพัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองท่าเมืองเดียวที่ออกสู่ทะเลญี่ปุ่นสำหรับเมืองใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยเมจิอย่างซัปโปโร ส่วนโกดังเก่าริมคลองนั้น ภายนอกยังคงสภาพเดิมไว้เพื่อให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ แต่ภายในหลายๆโกดังกลับกลายเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อ ซึ่งรวมถึงโรงเบียร์ท้องถิ่นที่ผลิตเบียร์โอตารุ ที่จะหาชิมลิ้มรสได้ ก็ต้องเดินทางมาถึงเมืองนี้เองเท่านั้น
ทางรถไฟเก่าสมัยที่ญี่ปุ่นเพิ่งสร้างทางรถไฟสายแรกระหว่างซัปโปโร-โอตารุยังคงมีร่องรอยให้นักท่องเที่ยวได้ตามหา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ตึกที่ก่อปูนหนาหนักอย่างยุโรปหลายๆหลัง ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีโดยที่เอกชนยังคงใช้ประโยชน์ได้ จากคลองโอตารุเดินไปตามถนนที่มีร่องรอยของตึกเก่าเหล่านี้ จะเต็มไปด้วยร้านรวงขายของหลากหลายชนิด รวมไปถึงของขึ้นชื่อต่างๆของเมือง ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เครื่องแก้ว ร้านขนมสมัยใหม่ที่ได้อิทธิพลมาจากยุโรป รวมไปถึงกล่องดนตรีที่พัฒนาการขึ้นมาจากอิทธิพลตะวันตกจนตัวพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีเอง ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดของเมือง โอตารุสามารถเดินเที่ยวได้ไม่ยากและสถานที่แต่ละแห่งไม่ไกลกันมาก สามารถใช้เวลาทั้งวัน ค่อยๆสำรวจมุมน่ารักๆได้อย่างสบายๆ ฉันขอแอบกระซิบว่า อย่าลืมเดินหาของกินเล่นแปลกๆขึ้นชื่อของที่นี่ อย่างเช่นร้านขายไอศครีมรสชาติแปลกๆเช่น รสเบียร์ รสหมึก (ของปลาหมึก) หรือไก่ทอดชิ้นโตกรอบนอกนุ่มในอร่อยๆ เอแคลร์ที่มักขายหมดแต่หัววัน ตามตรอกซอกซอย ระหว่างที่เดินชมเมืองด้วยก็แล้วกัน
หลังจากที่นั่งรถไฟกลับมาพักผ่อนที่ซัปโปโรอีกครั้งก่อนออกเดินทางต่อไปที่อื่น เช้าวันเดินทาง ฉันตื่นแต่เช้าแวะเยี่ยมชมตลาดเช้าที่ Nijo Fish Market ดูปูยักษ์ตัวโตๆ รวมถึงอาหารทะเลสดๆอื่นๆ (บางร้านสามารถให้เขาทำให้กินได้เลย) แวะรับประทานข้าวหน้าปลาดิบ ไข่หอยเม่นหรือไข่ปลาต่างๆตามแต่ใจชอบ ก่อนไปโบกมืออำลาเมืองหลวงซัปโปโรนี้ บนเนินแกะที่มีชื่อเต็มๆว่า Hitsujigaoka Observation Hill ที่สามารถมองเห็นตัวเมืองซัปโปโร ได้ทั้งเมืองรวมถึงสนามกีฬา Sapporo Dome ผ่านทุ่งหญ้าที่มีน้องแกะหลายๆตัวยืนเล็มหญ้าอยู่ และถ่ายรูปกับรูปปั้นของ Dr. William S. Clark ชาวอเมริกันที่เข้ามาวางรากฐานด้านการศึกษาและเกษตรกรรมให้กับซัปโปโรเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ้าของวลีอันโด่งดังของเขาที่กล่าวกับลูกศิษย์ลูกหาชาวฮอกไกโดในยุคสร้างเมืองว่า “Boys, Be Ambitious” จงมีความทะเยอทะยาน หากมิใช่เพื่อลาภยศสรรเสริญหรือเงินตรา แต่เพื่อบรรลุความสำเร็จในทุกสิ่งที่มนุษย์เราควรจะเป็น จะเป็นเพราะวลีที่กินใจชาวเมืองเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนี้หรือไม่ ที่ทำให้เกาะฮอกไกโดเติบโตขึ้นมาทัดเทียมเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอื่นๆได้อย่างที่เห็น ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองร้อยปี…
อยากไปมั่งจังงงงงถ้ามีรูปให้ดูด้วย จะเจ๋งมากเลยนะคะเนี่ย ^-^
อ้าว รูปก็ลงอยู่แล้วไงจ๊ะ…
ขอบคุณนะหล้า สำหรับ รูปสวยๆ และ คำอธิบาย ทุกอย่างลงตัว สมบูรณ์มาก ทั้งอ่าน ทั้งชม เพลิดเพลิน ได้ประโยชน์