Rajasthan: Rich Heritage and Colourful Culture

This slideshow requires JavaScript.

เมื่อพูดถึงอินเดียหลายๆคนอาจเข็ดขยาดจากการได้ยินได้ฟังมาถึงความสกปรก ไร้ระเบียบ แออัด ยัดเยียด มีแต่คนคิดจะหลอกนักท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งคงไม่น่าแปลกอะไรกับประเทศที่มีประชากรมากล้นเป็นอันดับสองของโลก และร่ำๆจะแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้ในไม่ช้าไม่นาน แต่ถึงกระนั้นอินเดียก็มีอะไรหลายๆอย่างเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้ชวนหลงใหลสำหรับหลายๆคนที่ได้ไปเยือนแดนภารตะแห่งนี้มาแล้ว ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบธรรมชาติ ป่าเขา หิมะ ทะเลทราย หรือชื่นชมเมืองเก่าอุดมไปด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย เนื่องเพราะอินเดียมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีภูมิประเทศที่หลากหลาย และที่สำคัญเป็นหนึ่งในดินแดนที่ก่อเกิดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ส่งอิทธิพลต่อนานาประเทศมาเป็นเวลาช้านาน ยิ่งได้ออกนอกเมืองใหญ่ๆอย่างเดลฮี ไปเที่ยวในต่างถิ่นห่างไกลบ้าง คุณจะพบว่าชาวอินเดียมีน้ำใจให้อย่างเหลือเฟือและอาจจะลบภาพเดิมๆที่เคยอยู่ในความคิดจากการที่ได้ยินได้ฟังมาก็เป็นได้

ฉันพาตัวเองมายืนอยู่ในรัฐทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีชื่อว่า Rajasthan รัฐราชสถาน-ดินแดนแห่งราชา แค่ชื่อของรัฐก็บ่งบอกได้อย่างเพียงพอแล้วว่า ดินแดนนี้จะรุ่มรวยอารยธรรมเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้อมปราการและราชวังของมหาราชาต่างๆที่ต่างคนต่างพากันมาสร้างสรรปั้นแต่งไว้ในดินแดนแถบนี้เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ บริเวณแถบนี้แต่เดิมเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์นักสู้แห่งราชปุต (Rajput) มาช้านาน โดยชาวพื้นเมืองเรียกดินแดนแถบนี้ว่า Mewar (ดินแดนแห่งความตาย) แม้ว่าจะถูกชนเผ่ามุสลิมราชวงศ์โมกุลเข้ามามีบทบาทสำคัญบ้าง แต่กระแสราชวงศ์ราชปุตก็ยังคงฝั่งรากเหนียวแน่นอยู่ในดินแดนแห่งนี้

ฉันขอละที่จะไม่กล่าวถึงเมือง Jaipur (ชัยปุระ) อาจออกเสียงว่าไจปูร์ อันเป็นเมืองหลวงของ ราชสถานและเป็นหนึ่งในสามของเส้นทางเมืองท่องเที่ยวสามเหลี่ยมทองคำของอินเดีย (เดลฮี-ชัยปุระ-อัครา)ในครั้งนี้ เนื่องจากต้องการพาคุณไปสัมผัสเมืองอันแสนโรแมนติคจนติดอันดับโลกอย่าง Udaipur (อุทัยปุระหรืออุไดปูร์) และเมืองสีฟ้าของ Jodhpur (โยธปุระหรือจ๊อดปูร์) เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายมากๆของเมืองหลวงทั้งหลาย มาสู่เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไปของทั้งสองเมืองนี้

ทะเลสาป Pichola แห่งอุทัยปุระกลางใจเมืองที่เกิดจากการสร้างเขื่อนในสมัยก่อน และปราสาททั้งริมน้ำและกลางน้ำของที่นี่ เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองโรแมนติคที่สุดของรัฐราชสถาน หากอยู่ในมุมมองและช่วงเวลาที่เหมาะสม พระราชวังสีขาวนวลอันใหญ่โตมโหฬารของ City Palace ริมฝั่งน้ำ จะสะท้อนเงาน้ำในทะเลสาปให้ได้ชื่นชมอย่างงดงาม ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นโดยมหาราชาอุทัยสิงห์ที่ 2 (Maharaja Udai Singh II) ผู้ก่อตั้งเมืองเมื่อปี ค.ศ. 1559 และได้ถูกต่อเติมเสริมแต่งมาเรื่อยๆตามยุคสมัยของผู้ปกครองในเวลาต่อมา ทำให้พระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐ หลังจากซื้อตั๋วตรงทางเข้าตามอัตราคนต่างชาติและซื้อตั๋วค่านำกล้องเข้าไปแล้ว แนวตัวอาคารที่มีหน้ากว้างถึง 244 เมตรและสูงถึง 30.4 เมตรที่อยู่ตรงหน้า ได้บ่งบอกถึงความโอ่อ่าหรูหราได้อย่างดี ปัจจุบันส่วนหนึ่งของพระราชวังได้จัดแสดงเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสามารถเดินเข้าไปชมเขต Mardana Mahal เขตราชฐานสำหรับบุรุษและ Zenana Mahal เขตราชฐานสำหรับสตรีได้ ซึ่งแต่ละอาณาบริเวณหรือห้องหับต่างๆก็ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์เป็นลักษณะเฉพาะตัวที่สวยงาม โดยเฉพาะงานประดับเครื่องแก้วและกระจกสี งานสลักอาคารและรูปทรงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงอาวุธ และภาพวาดแสดงความเป็นไปในสมัยโบราณอีก ที่สำคัญเมื่อขึ้นถึงด้านบนปราสาท บางมุมก็จะสามารถมองเห็นทะเลสาปขึ้นชื่อของเมืองและพระราชวังกลางน้ำอื่นๆได้อีกด้วย หากคุณอย่างลองใช้ชีวิตในพระราชวังแห่งนี้ โรงแรม Shiv Niwas Palave มีให้บริการ โดยเดิมพื้นที่ของโรงแรมแห่งนี้เป็นส่วนรับรองแขกของมหาราชา นอกจากห้องวิวทะเลสาปอันหรูหราแล้ว ยังมีสระว่ายน้ำหินอ่อนให้ได้คลายร้อนอีกด้วย

ใกล้ๆกับพระราชวังจะมีท่าเรือที่สามารถขึ้นเรือไปล่องชมทะเลสาปและพระราชวังกลางน้ำบนเกาะสองเกาะ (แนะนำให้ล่องเรือช่วงเย็นย่ำก่อนพระอาทิตย์ตก) เกาะหนึ่งคือ Jagmandir ที่ตั้งของพระราชวังชื่อเดียวกัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1620 และพระราชวังสีขาวกลางน้ำที่มาแห่งความโรแมนติคบนเกาะJagniwas เดิมเป็นพระราชวังฤดูร้อนของ Maharaja Jagat Singh II สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1754 แต่ในปัจจุบันได้รับบริหารจัดการเป็นโรงแรมหรูชื่อ The Lake Palace ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว (ถ้าไม่ใช่แขกโรงแรมสามารถขึ้นไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมและเสียค่าเข้าชมได้) โรงแรมนี้และโรงแรมในพระราชวังที่กล่าวข้างต้น ยังเคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์เจมส์บอนด์ 007 ตอน Octopussy อีกด้วย

แต่ที่พลาดไม่ได้สำหรับการเยี่ยมเยือนเมืองนี้ ก็คือยามค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน (หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการช็อปปิ้งบนถนนที่นำไปสู่ทางเข้าพระราชวังหรือชมการแสดงแสงสีเสียงในตัวพระราชวังแล้ว) ลองหาร้านอาหารวิวดีๆริมทะเลสาป หรือบนดาดฟ้าตึกหรือโรงแรม (Roof Top Restaurant) ทางอีกฟากฝั่งน้ำของ City Palace ดู เพราะเนื่องจากในเวลากลางคืนจะมีการเปิดไฟ Light Up ตัวอาคารอย่างสวยงาม เงาสะท้อนแสงมลังเมลืองบนผิวน้ำกับอาหารค่ำมื้อหรูริมทะเลสาปแห่งนี้ จะทำให้คุณได้ชิลไปกับบรรยากาศโดยรอบได้อย่างสบายอารมณ์

ห่างจากอุทัยปุระไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร ถนนตัดผ่านป่าเขา แหล่งผลิตหินอ่อนขึ้นชื่อและทะเลทราย เป็นที่ตั้งของเมืองที่ได้ฉายาน่ารักว่า The Blue City เมืองสีฟ้าที่ฉันกล่าวถึงนี้คือเมือง Jodhpur (โยธปุระ) ซึ่งได้ฉายามาจากบ้านเรือนที่อยู่ภายในกำแพงเมืองเก่าที่ทาสีสันเป็นสีฟ้าใส แข่งกับท้องฟ้าสีสดของแห่งดินแดนกึ่งทะเลทรายแถบนี้ ว่ากันว่าแต่เดิมสีฟ้าเป็นสีที่ใช้ทาที่พักของเหล่าชนชั้นวรรณะพราหมณ์ ซึ่งนับถือพระกฤษณะ (สีของร่างกายของพระกฤษณะ) แต่ในปัจจุบันเรื่องวรรณะกลายเป็นเรื่องรอง ไม่ว่าบ้านใครต่อใครก็ร่วมใจกันทาสีให้ได้ฟ้าใส บางครั้งก็ตัดกับประตูสีเขียวสด สร้างเมืองเก่าให้มีเสน่ห์น่าเที่ยวชม

สิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าของเมืองคือป้อมปราการที่วางตัวอยู่บนเนินภูเขาหินสูงร้อยกว่าเมตรเสมือนเป็นฉากหลังกำแพงยักษ์ของเมืองสีฟ้าที่ชื่อว่า Meherangarh Fort (ป้อมปราการแห่งตะวัน)วัตถุประสงค์ในการสร้างก็เพื่อใช้เป็นป้อมปราการมาตั้งแต่ Roa Jodha มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองนี้เมื่อปี ค.ศ. 1459 แต่เมื่อมีการสร้างเสริมเติมแต่งขึ้นเรื่อยๆตามยุคสมัย ป้อมปราการแห่งนี้ก็กลายเป็นพระราชวังของผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ไปด้วย ฉันแค่ไปยืนอยู่ที่หน้าป้อมก็ตะลึงกับความตระหง่านของสิ่งก่อสร้างที่เห็นแล้ว มองลงไปด้านล่างก็ยังได้เห็นเมืองสีฟ้าสดใสล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองเก่าที่ยาวกว่า 10 กิโลเมตรอีก เมื่อจ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าชมด้วยราคาคนต่างชาติเช่นเดิม (แต่ที่นี่รวมค่านำกล้องถ่ายรูปเข้าไปและค่า Audio Guide ด้วย) แล้วเดินไปรับเครื่อง Audio ไว้กดฟังคำอธิบายจุดต่างๆตามหมายเลขที่กำหนดไว้นั้น คุณลุงที่ยื่นออดิโอให้พูดจาปราศรัยอย่างมีไมตรี แถมลงท้ายให้ด้วยว่า “ลุงรับรองว่าหนูจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตทีเดียวหลังจากที่ทัวร์ป้อมนี้เสร็จแล้ว” ฉันยังจำคำพูดคุณลุงได้แม่น และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตั้งแต่เริ่มผ่านประตูชัยต่างๆเข้าไป เห็นรอยกระสุนปืนใหญ่ตามกำแพง หรือรอยมือของเหล่าสนมและข้าราชบริพารที่เดินลงกองไฟตายตามมหาราชา (พิธีสตี) เมื่อร้อยกว่าปีก่อน รวมไปถึงการจัดแสดงเสลี่ยงที่นั่งหลังช้าง เกี้ยวแบกหามของราชวงศ์ ของใช้เครื่องประดับต่างๆ ไปจนถึงห้องหับสีสันสวยงาม หากได้จังหวะดีๆก็มีการแสดงพันผ้าโพกหัวให้ชมแบบสดๆอีก รวมถึงความสวยงามของลวดลายของอาคารพระราชวัง การแกะสลักและตัวกำแพงตึก ควบคู่ไปกับคำอธิบายและดนตรีประกอบที่ได้อารมณ์ร่วมจากชุด Audio ล้วนแล้วแต่สร้างสรรประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับตัวฉันเองอย่างมาก

เมื่อออกมาที่ทางออกยังมีร้านกาแฟให้พักผ่อนชมวิวจากป้อมปราการ และบริเวณที่ขายสินค้าที่ระลึกที่เป็นของดีที่ช่างฝีมือจากหมู่บ้านต่างๆเอามาขายเองอีกต่างหาก การซื้อขายบริเวณนี้จะไม่มีการลดราคา (โครงการของรัฐบาล) แต่เท่าที่เห็น ฉันพบว่าของมีคุณภาพดีกว่าที่เห็นขายกันทั่วๆไปในตลาด หรือบางครั้งก็ไม่สามารถหาได้เลย ถ้าไม่ไปที่แหล่งผลิตที่เป็นหมู่บ้านของช่างฝีมือเหล่านี้โดยตรง พ่อค้าช่างฝีมือต่างมีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เพิ่มสีสันและเสน่ห์ให้กับป้อมปราการที่ในความคิดของฉันถือว่ามีการจัดการที่ดีมากแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

จากการฟังคำบรรยายจากในเครื่อง ที่กล่าวถึงอนุสรณ์สถานและที่ฝังศพที่สร้างด้วยหินอ่อนที่ห่างออกไปประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ว่าเปรียบเสมือนทัชมาฮาลแห่งโยธปุระ ทำเอาฉันอดรนทนไม่ได้ ต้องขอไปเยี่ยมชมอย่างใกล้ชิดสักนิด อนุสรณ์สถานแห่งนี้มีชื่อว่า Jaswant Thada สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลที่ฝั่งพระศพของ Maharaja Jaswant Singh II สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 แม้จะไม่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง ที่สำคัญ ยังสามารถมองย้อนกลับไปเห็นป้อมแห่งตะวันอันสง่างามได้อีกด้วย

จากตัวป้อมปราการมีถนนเล็กๆที่สามารถเดินเลาะลงเขามาประมาณ 15 นาที ผ่านบ้านชาวบ้านและร้านค้ามายังกลางใจเมืองเก่าบริเวณจัตุรัสที่มีหอนาฬิกาอยู่ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเก่าที่นี่และมีของขายมากมาย ที่เน้นสำหรับชาวบ้านด้วยกันมากกว่า (ไม่ใช่ตลาดขายของที่ระลึกนักท่องเที่ยว) แม้จะมีรถราโดยเฉพาะรถสามล้อวิ่งกันควั่กไคว่แต่ก็ไม่ค่อยมีขอทานหรือคนเดินมาตื้อกวนใจแบบที่ท่องเที่ยวอื่นๆหลายๆที่ แถมบางคนยังมีน้ำจิตน้ำใจแนะนำชี้ทางให้อย่างไม่คิดจะแสวงหาผลประโยชน์อีกด้วย คุณจะแวะชิมไข่เจียวขึ้นชื่อรองท้อง หรือลาสซี่เจ้าเก่าและเก๋าในตลาดแห่งนี้ให้ชื่นใจก็ไม่มีใครมากวน

แน่นอนว่าหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ลองจ้างรถขึ้นเขามาที่ป้อมปราการอีกครั้ง Mehran Terrace คือร้านอาหารที่ระเบียงป้อมอันยิ่งใหญ่ เสริฟอาหารค่ำแบบราชสถาน ในบรรยากาศสลัวใต้แสงเทียน ที่บริเวณความสูง 140 เมตรเหนือเมืองสีฟ้า ก็จะได้บรรยากาศโรแมนติค After Sunset ไปอีกแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นๆ (แนะนำให้จองที่ล่วงหน้าค่ะ)

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s