หลังจากตระเวนเที่ยวประเทศกรีซมาสองอาทิตย์กว่าๆ ฉันให้รางวัลกับตัวเองสำหรับสองสามวันสุดท้ายในการเดินทาง ด้วยน้ำทะเลสีสวยๆ ท้องฟ้าใสๆ พร้อมเมืองสีขาวน่ารักๆที่หมู่เกาะภูเขาไฟเล็กๆ ในกลุ่มหมู่เกาะขนาดใหญ่ไซคลาเดส (Cyclades) นอกชายฝั่งกรีซ ในทะเลเอเจียน อันเป็นสถานตากอากาศอันลือชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวยุโรป “ซานโตรีนี่ (Santoríni)”
ยังไม่ทันที่เรือไฮโดรฟอยล์ลำที่ฉันโดยสารมาจากท่าเรือพิเรอัส (Piraeus) ทางตอนใต้ของกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ จะเข้าเทียบท่า ความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจของซานโตรีนี่ก็เผยโฉมให้เห็น เมื่อเรือเริ่มเข้าใกล้วงล้อมเสี้ยวพระจันทร์ของเกาะธีร่า (Thíra) เกาะขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะซานโตรีนี่ และเป็นเกาะหลักที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนสีขาวทรงสี่เหลี่ยมปลูกเรียงเป็นแถวอยู่บนยอดหน้าผาสีน้ำตาลแดง ที่ตัดดิ่งลงสู่ห้วงน้ำสีฟ้าสด เมื่อดูผ่านๆแล้วเกาะแห่งนี้จึงเหมือนเป็นภูเขาที่มียอดปกคลุมด้วยหิมะ เรือค่อยๆเข้าเทียบท่า ตรงท่าเรือที่เป็นเพียงที่ราบชายฝั่งเล็กๆ ริมหน้าผาสูงชัน ผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้นลงเรือที่เข้าเทียบท่ากันวุ่นวาย อาจเพราะช่วงเวลาที่ฉันมาเยือนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนอันเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของหมู่เกาะบริเวณนี้ก็เป็นได้ ถนนจากท่าเรือตัดซิกแซกขึ้นหน้าผาไปสู่ที่ราบด้านบน ฉันบอกแท็กซี่ให้ไปส่งที่เมืองเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะที่เมืองคามารี (Kamári) ไม่ไกลจากชายหาดสีดำ ที่เกิดจากเศษทรายและหินสีดำจากภูเขาไฟระเบิดนั่นเอง
คามารี เป็นหนึ่งในเมืองริมหาดไม่กี่แห่งทางฝั่งทะวันออกและทางใต้ของเกาะ เนื่องจากทางฝั่งตะวันตกและทางเหนือเป็นหน้าผาสูงชัน การเดินเล่นริมหาดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวแบบนี้ ให้บรรยากาศไม่ต่างจากเมืองตากอากาศริมทะเลทั้งหลายแหล่บนโลก ร้านค้า ภัตตาคารและรีสอร์ทริมทะเล (ที่มีสระว่ายน้ำเล็กๆด้วยทุกแห่ง) เรียงรายตั้งแต่ต้นหาดยันปลายหาด ถนนเล็กๆขึ้นกลางสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ออกจากชายหาด เต็มไปด้วยผู้คนในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ปรารถนาให้แสงแดดอันร้อนแรงอาบผิวพรรณให้สุกงอม (แน่นอนว่าไม่ใช่ฉันแน่) อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหาได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลชั้นดี ไวน์รสเลิศ รถเช่า ร้านดำน้ำ ร้านขายของที่ระลึก และอื่นๆ แต่เป้าหมายของฉัน (ที่มาจากประเทศเขตร้อน) ในบ่ายวันนี้ คงเป็นแค่การนั่งตากลม จิบไวน์ริมสระน้ำในร่มเงาบริเวณที่พักเท่านั้น เตรียมตัวไปลุยต่อตอนเย็น เมื่อแดดร่มลมตกแล้วนั่นเอง
สิ่งที่คงจะขาดไม่ได้ของการมาเที่ยวหมู่เกาะซานโตรีนี่ก็คือการชมพระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งทิศตะวันตกของเกาะ และจุดหมายหนึ่งที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือปลายสุดทิศตะวันตกทางตอนเหนือของเกาะที่เมืองอีอา (Ía) แล้วมีหรือที่ฉันจะพลาด ตกเย็นฉันนั่งรถโดยสารจากเมืองคามารี ไปที่เมืองอีอาที่ว่า โดยต้องเปลี่ยนรถที่เมืองฟีร่า (Firá) เมืองศูนย์กลางของเกาะ ถนนที่รถสามารถวิ่งผ่านได้ สิ้นสุดที่ป้ายรถเมล์ของเมืองอีอา เมื่อลงจากรถ เท้าของฉันเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ เพราะจากจุดนี้มีเพียงเส้นทางแคบๆลัดเลาะไปตามบ้านเรือนสีขาวที่บ้างก็ทาขอบประตูหน้าต่างเป็นสีฟ้าสดสู้กับน้ำทะเลริมผาด้านล่าง เส้นทางลัดเลาะเขตเมืองเก่าบางส่วนที่ถูกทำลายจากแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งล่าสุดเมืองประมาณเกือบๆห้าสิบปีก่อนด้วย เหมือนมีนักท่องเที่ยวคนอื่นเป็นผู้นำทาง ฉันเดินลัดเลาะตามฝูงชนไปเรื่อยๆ เพราะดูเหมือนจุดหมายปลายทางของคนส่วนใหญ่ก็คือบริเวณเดียวกันที่จะมองเห็นอาทิตย์อัสดงริมหน้าผาสูงชันนั่นเอง แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งฉันก็เลิกดันทุรังตามผู้คนเข้าไปอีก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่รอดูประอาทิตย์ตกตรงจุดที่ (อาจจะ) เป็นที่ที่สวยที่สุดนั้น ไม่มีที่เหลือให้ฉันได้แทรกตัวเข้าไปแล้ว ฉันเปลี่ยนใจเดินลัดเลาะบ้านเรือนริมหน้าผาไปเรื่อยๆ จนเจอที่ที่ถูกใจ หน้ารีสอร์ทเล็กๆสำหรับคู่ฮันนีมูนที่สร้างอยู่ริมหน้าผาอย่างสวยงามน่าหวาดเสียว พอดีกับเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตก ฉันจึงได้ภาพงามๆของแสงสีทองย้อมบ้านเรือนสีขาวให้กลายเป็นสีส้ม ส้มแดง และสีที่เข้มขึ้นเรื่อยๆตามการคล้อยตัวของดวงอาทิตย์ โดยไม่มีผู้คนมากมายอยู่ในเฟรม…
นักท่องเที่ยวที่มาที่เกาะแห่งนี้ มีทางเลือกหลายๆอย่างที่จะเที่ยวในช่วงเวลากลางวัน ไม่ว่าจะเป็นซากเมืองธีร่าเก่าใกล้ๆเมืองคามารีที่ฉันพักอยู่ บริเวณที่ตั้งถิ่นฐานของชาวเมืองเดิมสมัยคริสตศตวรรษที่ 19 ก่อนถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มทำลายไปเมื่อปี ค.ศ. 1956 หรือจะเลือกนอนอาบแดดหลังเล่นน้ำทะเลที่ริมหาดดำ หรือหาดแดง (ทรายเป็นสีแดง) ของเกาะ ผู้ที่สนใจโบราณคดี อาจสนใจที่จะไปทางใต้ของเกาะชมเมืองโบราณที่จมอยู่ใต้ดิน อันเนื่องมาจากภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวเมื่อหลายพันปีก่อนที่เพิ่งค้นพบได้ไม่นานที่ Akrotíri ชมอารยธรรมมิโนอัน (Minoan) ที่รุ่งเรืองเมื่อสามสี่พันปีก่อน ที่แผ่อิทธิพลมาที่เกาะแห่งนี้ การค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ทำให้ความคิดเห็นเรื่องที่ว่าซานโตรีนี่อาจเป็นเมืองในตำนาน Atlantis ที่จมหายไปในทะเลตามคำบอกเล่าของเพลโต มีน้ำหนักมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ฉันไปนั้นโบราณสถานแห่งนี้กำลังปิดทำการขุดค้นอยู่ ไม่สามารถเข้าชมได้ จุดหมายที่ฉันเลือกสำหรับวันที่สองบนเกาะ จึงเป็นการเข้าเมืองฟีร่า ที่ฉันได้ผ่านแว่บๆเปลี่ยนรถประจำทางไปเมื่อวันวาน
ฟีร่า เป็นเมืองหลวงของเกาะ ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาทางทิศตะวันตก หลังจากที่รับประทานอาหารฟาสฟู้ดแบบแขกขาว คือเคบับเนื้อใส่มันฝรั่งทอด เนื่องจากทนความยั่วยวนของก้อนเนื้อที่ปั่นหมุนช้าๆเป็นวงที่หน้าร้านไม่ไหว ฉันเดินหลบหนีไอร้อน เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ของเกาะธีร่า แม้ว่าจะเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เมื่อเทียบกับที่อื่นๆที่ได้ไปชมมาบนแผ่นดินใหญ่ของกรีก แต่ก็มีของบางอย่างที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่อฉันนึกถึงว่าตัวเองไม่ได้มีโอกาสไปชมเมือง (ที่อาจเป็น) แอตเลนติสในตำนานได้ ซากข้าวของที่ถูกลาวาภูเขาไฟหลอมเคลือบแปลกตา สมบัติวัตถุโบราณเป็นเครื่องทองรูปสัตว์ต่างๆ หม้อไหดินเผาเขียนสี และภาพเขียนสีบนผนังโบราณ รวมทั้งภาพจำลองโบราณสถานบนเกาะก็พอจะทำให้ฉันหายอยากไปได้บ้าง
ส่วนอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่ฉันขอแนะนำเป็นการส่วนตัวคือ Folklore Museum ที่แสดงสภาพบ้านเรือนและการใช้ชีวิตของชาวเกาะช่วงก่อนแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด ก่อนที่เกาะแห่งนี้จะถูกครอบงำด้วยการบริการนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านดั้งเดิมที่สร้างอยู่ในถ้ำ มีห้องจัดแสดงวิถีชีวิตของชาวเมือง ไม่ว่าจะเป็นช่างทำรองเท้า ช่างเหล็ก ช่างไม้ ช่างปั้นหม้อ การทำไวน์ และอื่นๆ รวมทั้งโบสถ์เล็กๆหลังคาโดมทาสีฟ้าสดที่สามารถถ่ายรูปด้านในได้ด้วย (โดยปกติ โบสถ์ออโธด็อกส์ในกรีซ จะไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปด้านใน) ที่ฉันบอกว่าขอแนะนำ เพราะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ไม่ว่าที่ไหนๆก็เต็มไปด้วยผู้คนนั้น ที่นี่กลับมีคนเข้าชมนับคนได้ จะด้วยเหตุผลกลใดฉันก็ไม่อาจทราบได้ ทั้งๆที่การจัดแสดงก็ทำได้อย่างน่าสนใจและเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ก็พาเดินชมเป็นการส่วนตัวและอธิบายทุกอย่างได้อย่างเข้าใจง่ายและน่าประทับใจมาก อาจเป็นเพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางนักท่องเที่ยวของฟีร่าไปเล็กน้อย ซึ่งระหว่างทางไม่มีร้านรวงมาล่อใจให้เดินไปตามถนนก็เป็นได้ (เนื่องจากเป็นบริเวณตั้งถิ่นฐานของชาวเกาะที่อาศัยอยู่กันจริงๆ)
บ่ายคล้อย ฉันเริ่มออกเดินตามทางปูหินเล็กๆที่ลัดเลาะเมืองสีขาวของฟีร่าที่ลดหลั่นไปตามหน้าผาไปเรื่อยๆ ผ่านร้านรวงและโรงแรมหลากหลายที่แทรกตัวอยู่มากมายติดๆกันจนฉันไม่แน่ใจว่า บริเวณที่เดินผ่านไปนั้น ฉันผ่านเข้าไปในเขตส่วนบุคคลบ้างหรือไม่ ที่สังเกตได้คือรีสอร์ทโรงแรมริมหน้าผาเหล่านี้ทุกแห่งต้องมีสระว่ายน้ำเล็กๆตามความจำกัดของพื้นที่อยู่ภายในบริเวณ บางแห่งเล็กมากจนเหมือนอ่างอาบน้ำขนาดกลางในห้องน้ำบ้านปกติเท่านั้น แต่ที่สำคัญสระน้ำสีฟ้า มักอยู่ที่ระเบียงที่สามารถมองเห็นกว้างไกลไปตลอดผืนน้ำสีฟ้าสดของทะเลเบื้องล่าง การเดินลัดเลาะไปตามทางเหล่านี้ สามารถหามุมถ่ายรูปน่ารักๆได้เสมอ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เมื่อเดินเลยเขตเมืองไปทางเหนือเล็กน้อยมาถึงหน้าผาที่เป็นแหลมยื่นออกไปบริเวณที่ค่อนข้างจะปลอดจากบ้านเรือนและโรงแรม อันเนื่องมาจากเป็นที่ตั้งของซากป้อมโบราณที่เรียกว่า Skáros ฉันก็ถึงบางอ้อ กับคำว่าหมู่เกาะภูเขาไฟของซานโตรีนี่ ภาพที่เห็นคือโค้งหน้าผาชันทางทิศตะวันตกของเกาะธีร่าที่ฉันยืนอยู่ ต่อเนื่องไปยังเกาะเล็กๆใกล้เคียง คล้ายๆวงกลม โค้งที่ฉันกล่าวถึงนี้คือแนวปากปล่องภูเขาไฟเดิมนั่นเอง ส่วนที่ราบปากปล่องนั้น ก็คือส่วนที่จมอยู่ในทะเลสีฟ้าใสที่เห็น มีเกาะราบๆเล็กๆ โผล่ขึ้นมาตรงกลางอันเป็นบริเวณที่มีน้ำพุร้อนและโคลนเดือดระอุอยู่ อันเป็นปากปล่องใหม่ที่ยังครุกรุ่นอยู่ในปัจจุบัน โค้งปากปล่องอันสวยงามแห่งนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่กว่าจะกลายมาเป็นรูปร่างที่เห็นในปัจจุบัน บริเวณนี้ผ่านการระเบิดของภูเขาไฟมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งที่รุนแรงที่สุดที่มีบันทึกไว้ ก็น่าจะเป็นเมื่อประมาณ 3,500 กว่าปีก่อน ที่การระเบิดครั้งนั้น ทำให้ท้องฟ้าของทะเลเอเจียนปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกและเถ้าถ่านสีดำขนาดมหึมา เกิดคลื่นยักษ์ที่สูงกว่า 250 เมตร ที่ว่ากันว่าได้ทำลาย อารยธรรมมิโนอัน ในหมู่เกาะแถบนี้ไปโดยสิ้นเชิง ในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมาก็มีการระเบิดอย่างน้อย 14 ครั้ง และแผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1956 ทำลายทุกอย่างบนเกาะแห่งนี้ และจำเป็นต้องสร้างเมืองกันใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน…
แน่นอนว่า ฉันไม่พลาดชมพระอาทิตย์ตกในวันที่สองนี้แน่ คราวนี้ฉันไม่นั่งรถไปที่เมืองอีอาอย่างวันวาน แต่มองหาจุดงามๆในเมืองฟีร่าแทน เนื่องจากฉันเห็นโปสการ์ดหลายๆใบ และภาพต่างๆหลายๆภาพที่แสดงความเป็นซานโตรีนี่แห่งนี้ เป็นภาพที่มองผ่านหลังคาโบสถ์แห่งหนึ่ง มีหอระฆังอยู่ด้านหน้า การไล่ล่าหามุมมองที่ว่าจึงเกิดขึ้น ฉันเดินลัดเลาะผ่านเข้าเมือง พยายามหาโบสถ์ที่ว่าอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะกลัวว่าผู้คนมากมายจะไปถึงฉันก่อน และไม่มีที่ว่างให้ฉันได้ถ่ายภาพอีก หลังจากลัดเลาะอยู่หลายเลี้ยว ไต่ขึ้นไปตามบ้านเรือนบนหน้าผาไปหลายชั้น ฉันก็เจอมุมมองสวยงามที่ว่า แต่ผิดคลาด ผู้คนกลับบางตาหรือพูดอีกทีมีอยู่ไม่ถึงสิบคนดี ฉันว่าคนส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าจะขึ้นมาตรงส่วนนี้อย่างไร หรือไม่ก็ขี้เกียจจะหา หรืออีกทีก็คงเพราะว่า ไม่รู้จะลำบากหาไปทำไมนั่นเอง ฉันได้ชื่นชมวิวงามๆสมใจ และค่อยๆเก็บภาพด้วยความสบายอกสบายใจโดยไม่รีบร้อน หรือเบียดเสียดกับใครเพื่อหาตำแหน่งที่ดีที่สุด…ค่ำนี้ ฉันฉลองให้ตัวเอง เป็นการส่งท้ายทริปด้วยอาหารกรีกแท้ๆ จิบไวน์ขาวของซานโตรีนี่ ในภัตตาคารหรูริมหน้าผา ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าที่มีขอบฟ้าสีแดงกล่ำก่อนสิ้นแสงสุดท้ายก่อนค่อยๆเปลี่ยนสีล้อเงาดำของเกาะภูเขาไฟตรงหน้าอย่างมความสุข
ก่อนเดินทางออกจากเกาะแสนสวยในวันต่อมา ฉันยังพอมีเวลาตามหารสชาติของไวน์เมื่อวันวานอีกครั้ง คราวนี้ฉันแวะเข้าไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ไวน์บนเกาะเลย ไวน์ซานโตรีนี่เป็นหนึ่งในไวน์ที่มีชื่อเสียงของกรีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์ขาว Vinsanto ที่ได้จากองุ่นพันธุ์ Asyrtiko สายพันธุ์หลักของเกาะ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทำให้ฉันได้รับรู้ว่ามันมีความพิเศษอย่างไร เริ่มจากการปลูกองุ่นที่ไม่เหมือนที่อื่นของเกาะ เพราะที่นี่จะปลูกองุ่นเป็นเถาพันกลมๆติดดิน ไม่ให้ไต่ไปตามลวดแบบที่เห็นทั่วไป สาเหตุเพราะที่นี่เป็นเกาะกลางทะเล ลมแรงมากนั่นเอง การปลูกติดดินช่วยกันลมไม่ให้ทำลายองุ่นได้ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าดินภูเขาไฟของเกาะย่อมทำให้รสชาติขององุ่นที่นี่ต่างจากที่อื่นไปด้วย ส่วนเจ้า Vinsanto นั้นเขาจะตากองุ่นจนคล้ายเป็นลูกเกดก่อนนำมาหมัก ไวน์จึงมีรสชาติออกไปทางหวานหอมคล้ายน้ำองุ่น พิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นบนโรงงานทำไวน์เดิม จึงต้องเดินเข้าไปในทางใต้ดินคล้ายๆถ้ำ แสดงประวัติความเป็นมา ตลอดจนหุ่นจำลองการผลิตไวน์ตั้งแต่การปลูกองุ่น เก็บเกี่ยวกรรมวิธีการผลิต จนออกมาเป็นน้ำสีสวย ถังไวน์ขนาดใหญ่ของแท้ และเครื่องจักรกลสมัยก่อน แต่ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับฉันก็คือการได้ชิมไวน์ก่อนออกจากโรงงานนั่นแหละ คราวนี้ฉันถึงได้พิสูจน์จนเห็นความจริงแล้วว่าเจ้า Vinsanto ขวดแพงตรงนั้น มันต่างจากไวน์อีกขวดตรงนี้ กับที่วางอยู่ตรงมุมโน้นอย่างไร (^_^)
เป้ถูกแบกขึ้นหลัง ในมือถือถุงใส่ขวดไวน์ที่เพิ่งได้มา…ฉันเดินขึ้นเรือเฟอรี่ลำโตที่ท่าเรือเดิม หาที่นั่งเหมาะๆ ที่สามารถชมวิวเกาะต่างๆในทะเลเอเจียนแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือลาเกาะธีร่า และเกาะเล็กเกาะน้อยใกล้ๆที่ประกอบขึ้นเป็นหมู่เกาะซานโตรีนี่แห่งนี้ เรือออกจากท่าเรือผ่านผืนน้ำเหนือปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาต่างจับจองที่ว่างเป็นของตัวเอง นักดนตรีพร้อมหีบเพลงชักในมือเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ไม่ไกลจากฉันนัก เพลงในภาษาที่ฉันไม่คุ้นถูกบรรเลงขึ้น วัยรุ่นถือกีตาร์เข้ามาแจม วงล้อมเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…เรือค่อยๆแล่นช้าๆ หนทางยังอีกยาวไกล… ฉันเริ่มมองหาถุงใส่ของที่ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ก่อนขึ้นเรือ แล้วจึงนึกขึ้นได้…อ้าว แล้วฉันจะหาที่เปิดไวน์ได้จากที่ไหนล่ะทีนี้!?