No Snow in Siberia 1: Irkutsk

Irkutsk WM-73 Irkutsk WM-71 Irkutsk WM-70 Irkutsk WM-67 Irkutsk WM-66 Irkutsk WM-65 Irkutsk WM-64 Irkutsk WM-63 Irkutsk WM-60 Irkutsk WM-59 Irkutsk WM-58 Irkutsk WM-56 Irkutsk WM-55 Irkutsk WM-54 Irkutsk WM-53 Irkutsk WM-52 Irkutsk WM-51 Irkutsk WM-50 Irkutsk WM-49 Irkutsk WM-47 Irkutsk WM-45 Irkutsk WM-42 Irkutsk WM-40 Irkutsk WM-39 Irkutsk WM-38 Irkutsk WM-36 Irkutsk WM-31 Irkutsk WM-24 Irkutsk WM-16 Irkutsk WM-15 Irkutsk WM-7 Irkutsk WM-13 Irkutsk WM-4 Irkutsk WM-46

เมื่อพูดถึงไซบีเรีย ฉันว่าหลายๆคนคงเป็นเหมือนฉันที่ว่า ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาในสมองคือภาพหิมะขาวโพลนและความหนาวเย็นจับจิต จนบางคนแค่ได้ยินชื่อก็อาจนึกปฏิเสธในใจแล้วว่า จะไปเที่ยวทำไม หนาวจะตาย… แต่อย่าลืมว่าไซบีเรียมีพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารกว่าสี่ล้านตารางกิโลเมตร (เฉพาะไซบีเรียตะวันออก ในเขตทวีปเอเชีย) พื้นที่ทั้งหมดของไซบีเรียจึงไม่ได้มีหิมะปกคลุมตลอดปีอย่างที่คิด โดยเฉพาะบริเวณทางตอนใต้ของไซบีเรียนั้น ในช่วงฤดูร้อนกลับมีอากาศเย็นสบายน่าเดินทางท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็ได้มีโอกาสไปเยือนไซบีเรียในวันที่ดินแดนแถบนี้ไม่มีหิมะ
ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัสเซีย ทำให้นักท่องเที่ยวไทยสามารถเดินทางเข้ารัสเซียได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ทำให้การเดินทางครั้งนี้ฉันไม่ต้องเตรียมการอะไรมากมายล่วงหน้าในด้านเอกสาร แถมเมืองอีร์คุสตค์ (Irkutsk) หนึ่งในเมืองใหญ่ของไซบีเรียทางตอนใต้ที่ฉันจะไปนั้น ก็มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ โดยใช้เวลาบินเพียงแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น โดยบินตรงขึ้นไปทางเหนือผ่านจีน มองโกเลีย เข้าเขตไซบีเรียก็ถึงแล้ว การเดินทางคราวนี้จึงง่ายดายกว่าที่ฉันคิดมาก ผู้โดยสารเกือบทั้งลำที่ฉันร่วมเดินทางไปด้วยเป็นชาวรัสเซียที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินเมืองอีร์คุสตค์อยู่ในสภาพเก่าแก่ อึมทึม มีประตูกั้นคอกเป็นห้องเล็กๆและมีหลอดไฟห้อยส่องลงมาจากเพดานแบบสมัยก่อน จนฉันอดนึกไปถึงหนังในยุคคอมมิวนิสต์ไม่ได้ จนหวั่นๆคิดไปว่าจะถูกจับคุมตัวไปสอบสวนขังคุกง่ายๆแบบในหนังหรือเปล่า เนื่องเพราะไม่มีวีซ่าในหนังสือเดินทาง แต่เจ้าหน้าที่ก็ประทับตราให้ผ่านด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส โดยไม่ถามอะไรมากมายแม้เครื่องบินจะมาถึงกลางดึกเอามากๆ (ตีสอง) เมื่อรถที่นัดให้มารับรออยู่หน้าสนามบินอยู่แล้ว ฉันจึงผ่านฉลุยเข้าที่พักที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอีร์คุสตค์ได้โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ
ฉันได้ที่พักตรงบริเวณที่เรียกว่า “130th District” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอีร์คุสตค์สโลโบด้า (Irkutsk Sloboda) ที่เป็นเขตการตั้งถิ่นฐานเดิมของเมืองที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2011 โดยสร้างตามแบบผังเมืองเดิมและตัวอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเดิมๆ (สร้างจากไม้ซุง) เมื่อร้อยสองร้อยปีที่แล้ว บริเวณนี้เคยถูกไฟไหม้และกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมก่อนที่จะถูกบูรณะปรับปรุงขึ้นใหม่ จนกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเมืองที่มีถนนคนเดิน ร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรม ร้านขายของที่ระลึก ในบรรยากาศร่วมสมัยที่รายล้อมด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่เป็นเสน่ห์ของเมืองในปัจจุบัน ตลอดทั้งวันจะมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองเองมากินดื่ม เดินเล่นและดื่มด่ำกับบรรยากาศในบริเวณนี้ โดยเริ่มต้นที่รูปปั้นตัวบาบร์ (Babr) คาบตัวเซเบิล (Sable) หรือเสือคาบหมาไน สัญลักษณ์แห่งความโดดเด่น พลังอำนาจและความมั่งคั่งของเมือง ที่ใช้เป็นตราประจำเมือง (Code of Arms) ไปจนสุดปลายถนนอีกด้านหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของห้างขนาดใหญ่
ว่ากันว่าเมืองอีร์คุสตค์แห่งนี้เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและเป็นศูนย์กลางของดินแดนไซบีเรียตอนใต้แห่งนี้เมื่อกว่า 350 ปีก่อน ชุมชนนี้ตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำอังการ่า (Angara) และแม่น้ำอีร์คุต (Irkut) ห่างจากทะเลสาบไบคาลประมาณ 70 กิโลเมตร และเป็นทางผ่านของทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียอันลือชื่อ เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ก็เพราะเหล่านายทหาร ศิลปินและชนชั้นสูงหัวก้าวหน้าที่ต้องการก่อการปฏิวัติต่อพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในมอสโคเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 ถูกปราบปราม (เรียกกันว่ากบฏธันวาคมหรือกลุ่มดีเซมบริสต์) และถูกเนรเทศมาที่ไซบีเรีย ได้รวมตัวกันตั้งรกรากอยู่ที่เมืองอีร์คุสตค์แห่งนี้ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางความรู้และสังคมแบบปัญญาชนแห่งไซบีเรีย จนครั้งหนึ่งได้เคยถูกเรียกขานกันว่าเป็น “ปารีสแห่งไซบีเรีย” มรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมายังปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดคือบ้านไม้แบบดั้งเดิมที่ตกแต่งด้วยลายฉลุงามๆตามใจกลางเมืองที่หาชมได้บนถนนบางเส้น ทั้งแบบที่ได้รับการบูรณะแล้ว ถูกไฟไหม้ทิ้งร้าง และคงได้รับการใช้งานเป็นบ้านของชาวเมืองในปัจจุบัน ผสมผสาน (แบบตัดกัน) กับวัฒนธรรมแบบคอมมิวนิสต์โซเวียตที่มักจะก่อสร้างตึกอาคารขนาดใหญ่โต แข็งๆทมึนๆ กับอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญตามจุดต่างๆ
ฉันใช้เวลา 2-3 วันที่นี่ เดินเที่ยว สลับกับการขึ้นรถราง รถเมล์ รถ trolley (ราคา 12 รูเบิ้ล เท่ากันทุกพาหนะ) เที่ยวชมเมืองในบรรยากาศแบบสบายๆ ในอุณหภูมิประมาณ 20 องศาในเวลากลางวันของฤดูร้อนเดือนกรกฏาคมอย่างสบายใจ ตามข้อมูลของการท่องเที่ยวของเมืองอีร์คุสตค์ที่ว่ามีแหล่งสถาปัตยกรรมและอาคารประวัติศาสตร์ของเมืองกว่า 30 แห่งในระยะทาง 5 กิโลเมตร… อนุสาวรีย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ชาวรัสเซียเรียกชื่อว่า ซาช่า) ผู้ริเริ่มการสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำอังการ่า ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลออกจากทะเลสาบไบคาล (แม่น้ำอีกกว่า 300 สายไหลลงทะเลสาบไบคาล) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก “The 130th District” นัก ใกล้กันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวพื้นเมืองไซบีเรียแถบนี้ รวมถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่และการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง พิพิธภัณฑ์อยู่ในตัวอาคารรูปร่างคล้ายปราสาทเก่าสร้างด้วยหินสีอิฐที่เคยเป็นสถานที่ราชการมาก่อนในอดีต ฉันตั้งใจจะชิลล์ๆนั่งเรือล่องแม่น้ำไปยังอีกด้านหนึ่งของเมือง แต่ด้วยความงุนงงกับภาษาและเที่ยวเรือ ทำเอาต้องเปลี่ยนแผนพาตัวเองนั่งพักที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สั่งอาหารพื้นเมือง เช่นปลาจากทะเลสาบไบคาล ซุปพื้นเมืองและปลาดิบบีบมะนาวพร้อมหอมใหญ่ มากินแกล้มเบียร์พื้นเมืองแทน
ถนนเลนินเป็นถนนสายหลักเส้นหนึ่งที่เชื่อมต่อไปยังตอนบนของเมือง (ที่ตอนแรกตั้งใจจะนั่งเรือไป) อันเป็นที่ตั้งของจัตุรัสประวัติศาสตร์ที่มีโบสถ์สำคัญ 3 แห่งล้อมรอบอยู่ แต่ก่อนที่จะเข้าชมโบสถ์ ฉันเดินไปถึงสะพานและทางเดินริมน้ำ ปรากฎว่ารั้วริมแม่น้ำเต็มไปด้วยแม่กุญแจล็อคอยู่ตามรั้วเรียงเป็นแถว นี่อาจเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่แบบที่เห็นในหลายประเทศ ที่คู่รักเอาโซ่หรือกุญแจมาคล้องล็อคไว้ที่ราวสะพาน และโยนลูกกุญแจทิ้งลงไปในแม่น้ำที่ไหลแรงและเย็นยะเยือก (ฤดูร้อนอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา ฤดูหนาวแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง) เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอันเป็นนิรันดร์ (ตราบใดที่ยังไม่มีใครลงไปงมกุญแจขึ้นมาไขออก) ฉันโชคดีได้เจอคู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ชุดเต็มยศ พากันเอากุญแจมาล็อคที่รั้วริมน้ำ มีการถ่ายภาพและวีดีโอเป็นหลักฐานก่อนโยนกุญแจทิ้งลงไปในทะเลสาบพอดี เมื่อสำรวจแม่กุญแจต่างๆ พบว่ามีการสลักชื่อคู่รักและคำพูดแสดงความรักต่างๆไว้ เหมือนกับในการ์ดแต่งงานของคนไทยเลยทีเดียว
เป็นความโชคดีของดินแดนที่อยู่ห่างไกลอย่างไซบีเรียหรืออย่างไรไม่ทราบ ทำให้โบสถ์ต่างๆของเมืองนี้ไม่ได้ถูกทำลายไปตามลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธศาสนาที่เชื่อว่าเป็นการครอบงำประชาชน The Church of Saviour หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Spasskaya โบสถ์สีขาวสวยอายุอานามเกือบ 300 ปียังคงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงจัตุรัส ใกล้ๆกัน Ephiphany Cathedral ที่มีภาพเขียนสีทั้งในและนอกผนังโบสถ์อย่างงดงาม อายุกว่า 250 ปี ในขณะที่ The Polish Church ของนิกายโรมัน-คาธอลิคที่เก่าแก่ร้อยกว่าปีในสีอิฐที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากกันนัก ยังคงจัดแสดงคอนเสิร์ตออร์แกนเพลงคลาสสิคอย่างต่อเนื่องแทบทุกวัน ซึ่งฉันถือว่าเป็นการซึมซับวัฒนธรรมวิธีหนึ่งอย่างดีเยี่ยมด้วยการซื้อตั๋วเข้าไปนั่งฟังในสนนราคาหลักร้อยเท่านั้น น่าเสียดายที่โบสถ์ส่วนใหญ่ของที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในตัวโบสถ์ได้ การเข้าชมโบสถ์และวิหารของที่นี่จำเป็นต้องแต่งตัวสุภาพ สำหรับสุภาพสตรีต้องมีผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา (ส่วนใหญ่มีให้ยืมที่ทางเข้า) และเมื่อได้เข้าไปด้วยตัวเองแล้ว น่าจะรู้ได้จากสภาพแวดล้อมว่าควรจะต้องทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้มีจิตศรัทธาท่านอื่น
เลียบแม่น้ำขึ้นไปไม่ไกลนักเป็นที่ั้ตั้งของประตูชัยมอสโค (Moscow Gate) ประตูชัยนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1811 เพื่อเป็นเกียรติยศต่อพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ว่ากันว่าที่เรียกว่า Moscow Gate ก็เพราะประตูชัยนี้ถูกสร้างขึ้นบนถนนเมืองอีร์คุตสต์เส้นที่นำไปสู่เมืองมอสโคนั่นเอง และถือเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมือง
เมืองอีร์คุสตค์ยังมีอาคารประวัติศาสตร์ต่างๆ พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ อนุสาวรีย์อีกมากมายให้ได้เดินเที่ยวชม รวมไปถึงการพักผ่อนตากอากาศบนชายฝั่งแม่น้ำอังการ่า ควบคู่ไปกับการลิ้มลองอาหารพื้นเมือง เบียร์ท้องถิ่น รวมไปถึงว้อดก้า เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงไซบีเรีย หากไม่คิดจะดื่มแอลกอฮอล์ ฉันขอแนะนำ KBAC เครื่องดื่มแก้กระหายที่มีขายตามท้องถนนทั่วไปในอีร์คุตสค์ ทำจากขนมปังด้วยกรรมวิธีคล้ายๆการทำเบียร์แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ (หรือถ้ามีก็น้อยนิดมาก) ขายใส่แก้วให้ดื่มเลย หรือจะใช้ซื้อใส่ขวดไว้ดื่มระหว่างทางก็ได้ รสชาติดี มีฟองแบบเบียร์แต่ไม่ซ่า สุดท้ายหากอยากเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่ คงหนีไม่พ้นการเดินชมตลาดสดของชาวเมืองที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแหล่งท่องเที่ยวต่างๆของเมืองนี้ ฉันซื้อหาเสบียงล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองไปเที่ยวชมส่วนอื่นๆของไซบีเรียในยามที่ไม่มีหิมะต่อไป…

6 thoughts on “No Snow in Siberia 1: Irkutsk

  1. อยากอ่านต่อ สนใจเมืองนี้
    แต่หาทางไปต่อไม่ถูกครับ

  2. สวัสดีกำลังอยากไปเรยย มี รบกวนอีเมล์ได้ไม๊ค่ะ อยากๆๆไปมากๆ

  3. หาไฟลท์ไปไม่มีเลยค่ะ ที่เจอมีแต่เปนวันๆๆเลยยค่ะ

    1. แปลว่าอะไรคะ มีแต่เจอเป็น วันๆๆๆ? ลองดูสายการบินของไซบีเรีย S7 airlines นะคะ มีบินตรง 2-3 เที่ยวต่อสัปดาห์ค่ะ…จากกรุงเทพฯ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s