Bulgaria Experience II: World Heritage Day Trip

Bul2WM-17

ไม่ไกลจากเมืองโซเฟีย เมืองหลวงของประเทศบัลแกเรีย เป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมเจ๋งๆอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่แค่บนเชิงเขาชานเมืองหลวง อีกหนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณร้อยกว่ากิโลเมตรทางทิศใต้ ทั้งสองแห่งสามารถรวบเที่ยวได้ภายในวันเดียวหากมีเวลาไม่มากนักจึงตอบโจทย์การหาที่เที่ยวแบบ Day Trip ที่ฉันต้องการออกนอกเมืองหลวงไปดูชนบทของบัลแกเรียบ้างได้เป็นอย่างดี

 

ฉันมุ่งหน้าไปทางเขาที่สูงกว่า 2,000 เมตรที่สามารถมองเห็นได้จากในเมืองหลวงอย่างโซเฟียทางด้านใต้ เทือกเขาอันสูงใหญ่ที่ชื่อ Vitosha (วิโตชา) นี้ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองโซเฟีย ภูเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยป่าสนและเป็นที่เดินเขาชั้นดีและที่เล่นสกีชั้นยอดของชาวบัลแกเรีย และที่สำคัญ ณ บริเวณเชิงเขาที่ยังอยู่ในเขตชานเมืองแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีความสำคัญถึงกับได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก Boyana Church (โบสถ์โบยาน่า) โบสถ์แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ของหมู่บ้านเล็กๆชื่อ Boyana เมื่อฉันเสียเงินซื้อตั๋วที่หน้าประตูเดินเข้าไปด้านในสวนอันเป็นที่ตั้งของตัวโบสถ์ ตัวเองยังงงๆอยู่ว่าโบสถ์มรดกโลกที่ว่านั่นอยู่ไหน?  เพราะดูจากด้านนอกแล้วเหมือนเป็นโบสถ์ที่สร้างจากอิฐจากปูนแบบหยาบๆ ที่ดูธรรมดาๆ ไม่สวยงามเอาเสียเลย ตัวโบสถ์ทางด้านนอกนั้น เห็นได้ชัดว่าแบ่งออกเป็น 3 ส่วนที่ถูกสร้างขึ้นคนละยุคคนละสมัย ส่วนแรกอยู่ด้านในสุดทางทิศตะวันออกสร้างในสมัยปลาย ศต. ที่ 10 ต่อเนื่องไปถึง ศต.ที่ 11 ส่วนกลางสร้างใน ศต.ที่ 13 และส่วนสุดท้ายด้านนอกที่เป็นทางเข้าสร้างเพิ่มเติมในสมัย ศต.19 เพื่อต้องการขยายโบสถ์ให้ใหญ่ขึ้น ทั้งสามส่วนดูจากด้านนอกไม่ได้มีความประสานลงตัวหรือสวยงามอะไรเลย ตัวโบสถ์มีขนาดเล็กมากและจำกัดจำนวนคนเข้าชมด้านในได้เป็นกลุ่มๆครั้งละไม่กี่คน โชคดีที่ฉันไปถึงแต่เช้า เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวเข้าชม เพราะได้เดินเข้าไปเป็นกลุ่มแรกๆ ภายในโบสถ์ส่วนแรกที่ใหม่สุดไม่มีอะไรมาก แต่มียามคอยเฝ้าเปิดปิดประตูอีกอันหนึ่งที่เชื่อมต่อเข้าไปยังส่วนกลางและส่วนในสุด ความเจ๋งของที่นี่อยู่ตรงนี้ เพราะสิ่งที่ทุกคนมาดูมาชมก็คือภาพวาดฝาผนังสมัยกลางด้านในตัวโบสถ์ที่เก่าแก่ย้อนยุคไปเกือบพันปีตั้งแต่ที่มีการสร้างโบสถ์ส่วนแรก

ไม่น่าเชื่อว่าเลยว่าผนังด้านในของโบสถ์ที่ดูภายนอกไม่ได้งดงามอะไรนั้น กลับเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียกหรือที่เรียกกันว่าภาพเฟรสโก้ที่มีสีสันชัดเจนเต็มพรืดทุกผนังจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างให้เห็น บางส่วนที่ถูกกะเทาะออกไป ก็ยังเห็นภาพเขียนสีด้านในที่เคยถูกเขียนขึ้นมาในยุคก่อนหน้าให้เห็นอีก ว่ากันว่าภาพเขียนสีที่นี่มีการเขียนเพิ่มเติมทับไปมาแทบทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่มีการสร้างโบสถ์ แต่ที่เป็นผลงานชิ้นเอกจริงๆไม่ใช่ภาพเขียนที่เก่าที่สุด แต่เป็นภาพเขียนที่ถูกเขียนทับขึ้นในปี ค.ศ. 1259 เป็นรูปของ Sebastocrator Kaloyan และภรรยาของเขา Desislava ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์โบสถ์แห่งนี้ในยุคนั้น และภาพวาดบุคคลอื่นๆในยุคเดียวกัน (ที่ผนังทางด้านเหนือ) นอกจากนี้ก็เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ รวมถึงเซนต์นิโคลัส นักบุญประจำโบสถ์แห่งนี้ ภาพบุคคลทั้งหมด 240 ภาพกับเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลทั้งหมด 84 ฉากเหล่านี้ ถูกเขียนขึ้นโดยศิลปินหลายต่อหลายคนที่ไม่มีใครทราบชื่อ จึงมีการเรียกรวมทีมจิตรกรนิรนามเหล่านี้ว่าเป็น “The Boyana Master” ภาพเขียนสีเหล่านี้ถือเป็นสุดยอดจิตรกรรมฝาผนังและศิลปะในยุคกลางของบัลแกเรีย ที่คงความสมบูรณ์แบบที่สุด และถือเป็นต้นกำเนิดหรือบรรพบุรุษของยุคเรเนสซองส์ของยุโรปในเวลาต่อมา

โบสถ์ Boyana ได้รับประกาศเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1979 ปัจจุบันมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศควบคุมอุณหภูมิเพื่ออนุรักษ์ภาพเขียนสีเหล่านี้ รวมถึงการห้ามไม่ให้มีผู้เข้าชมมากเกินไปในแต่ละครั้ง และแต่ละกลุ่มที่เข้าไปชมจะอยู่ได้ไม่เกิน 15 นาที ซึ่งรวมถึงการห้ามถ่ายรูปในทุกรูปแบบ หลังจากหมดเวลาชื่นชมด้านในและเดินออกมาด้านนอก ฉันหันไปมองรูปลักษณ์ของโบสถ์ด้านนอกอีกครั้ง พรางนึกในใจว่านี่มัน “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ชัดๆ

 

ออกจากโบสถ์ ฉันนั่งรถยาวไปตามทางหลวงลงไปทางใต้ เพื่อไปยัง Rila Monastery (อารามรีล่า) ในเทือกเขา Rila ที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เมื่อเข้าสู่ถนนที่แยกออกจากทางหลวง ผ่านเมืองเล็กๆระหว่างทางสองสามเมือง บางเมืองมีรถยนต์มือสองจอดวางขายอยู่แทบจะทั้งเมือง รวมไปถึงโรงงานผลิตยา ซึ่งถือเป็นสินค้าส่งออกหลักอย่างหนึ่งของประเทศบัลแกเรีย เมื่อเข้าสู่เขตภูเขา ถนนจะเริ่มคดโค้งไปมาตัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ดูน่ารักด้วยเถาองุ่นที่เลื้อยไปมาในบ้านแทบทุกหลัง รวมไปถึงหน้าต่างประตู และเลื้อยเป็นแนวหลังคาตรงทางเดินริมถนน แถมมีพวงองุ่นห้อยระย้าอยู่เต็มไปหมด ที่นี่คงไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาขโมยองุ่นของใครเป็นแน่ ถือเป็นการผ่านชนบทของบัลแกเรียที่น่าอภิรมย์ไม่น้อย เมื่อเข้าสู่เขตป่าของอุทยานแห่งชาติรีล่า ถนนจะลัดเลาะไปตามสายน้ำใสเย็นของแม่น้ำ Rilska  (ริลสก้า) ที่ก่อกำเนิดหุบเขา Rilska อันเป็นที่ตั้งของอารามมรดกโลก Rila Monastery แต่ก่อนจะไปเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ฉันพาตัวเองแวะที่ร้านอาหารริมธารน้ำไหลเย็น สอบถามถึงอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่น ปลาเทร้าส์สดๆจากสายน้ำแห่งนี้เป็นชื่อแรกที่บริกรแนะนำ ฉันจึงจัดการมื้อเที่ยงของฉันง่ายๆโดยการสั่งปลาเทร้าส์ย่างเกลือกินกับข้าวสวยร้อนๆ (ใช่แล้ว ที่บัลแกเรียมีข้าวให้กิน!) เติมพลังได้เต็มเปี่ยมก่อนไปเดินชมอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ความสูงประมาณ 1,150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

Bul2WM-4

บริเวณที่เป็นที่ตั้งของ Rila Monastery ในปัจจุบันนั้น สามารถย้อนยุคของที่มาที่ไปของสถานที่แห่งนี้ได้ถึงครึ่งแรกของ ศต. ที่ 10 ในครั้งที่มีนักบวชชาวบัลแกเรียผู้หนึ่งออกธุดงค์จนมาพำนักนั่งสมาธิ ฝึกจิต สวนมนตร์ อดอาหารอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในบริเวณหุบเขา Rila แห่งนี้ นักบวชท่านนั้นคือชื่อ Saint Ivan of Rila (เซนต์อีวานแห่งรีล่า) (ค.ศ. 876-946) แม้ตัวเองจะอาศัยอยู่ในถ้ำ แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่ตามท่านนักบวชมาก็มาสร้างที่พำนักสำหรับพวกตัวเองอันเป็นที่มาของอารามแห่งนี้นักบวช Ivan เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 946 และศพถูกฝังอยู่ในถ้ำ จน Tsar Peter I (พระเจ้าซาร์ ปีเตอร์ที่ 1) แห่งบัลแกเรีย นำศพของนักบวชท่านนี้กลับไปไว้ที่โซเฟียและสถาปนาขึ้นเป็น Saint (เซนต์) แต่หลังจากนั้นพระศพของ St. Ivan ได้ถูกนำกลับมาไว้ที่ Rila Monastery อีกครั้งในปี ค.ศ. 1469 และยังคงอยู่ตัวโบสถ์หลักกลางศาสนสถานแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน

ลักษณะภายนอกของอารามตอนที่ฉันลงจากรถลงมาเห็นนั้น เป็นอาคารทรงสูงตระหง่าน 22 เมตรสีอิฐสีปูนที่ดูคล้ายป้อมปราการดีๆนี่เอง แต่เมื่อผ่านทางเข้าเท่านั้น ฉันถึงกับตะลึงด้วยไม่คิดว่าจะเห็นตัวอาคารด้านในในลักษณะเช่นที่มันเป็นอยู่ อาคารสีขาวสี่ชั้นล้อมรอบโบสถ์หลักตรงกลางที่มีภาพเขียนสีตามผนังสีสันสดใน งดงามเป็นที่สุด อารมณ์ในตอนแรกฉันนึกถึงอารามของวัดในทิเบตหรือภูฏานอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ดี ตัวตึกอาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่เนื่องจากถูกทำลายในช่วงปลาย ศต. ที่ 14 ในสมัยออตโตมันส์เรืองอำนาจ มีการก่อสร้างขึ้นใหม่ในสมัยปลาย ศต. 15 และถูกทำลายลงอีกจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.  1833 คราวนี้อาคารที่ตั้งตระหง่านสวยงามอยู่ในปัจจุบันได้ถูกเนรมิตขึ้นโดยสถาปนิกขึ้นชื่อจากที่ต่างๆของบัลแกเรีย จนทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1870 แม้ว่าผ่านการถูกทำลายหลายต่อหลายหน แต่ก็ยังมีของเก่าแก่ให้ได้เห็น เช่นตัวหอระฆังสูง 24 เมตรที่เรียกกันว่า Hrelyo’s Tower สร้างขึ้นมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1335 แถมผนังด้านในหอคอยยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังย้อนไปถึง ศต. ที่ 14 หลงเหลืออยู่

ตัวโบสถ์หลักตรงกลางที่มีชื่อเรียกว่า The Church of Nativity of the Virgin หรือ Nativity of the Holy Mother นั้น ถูกสร้างขึ้นแทนโบสถ์หลังเดิมในช่วงปี ค.ศ. 1834-1837 เป็นอาคารทรงกากบาท มีโดมอยู่ 5 ยอด ภายใน (ห้ามถ่ายรูป) มีแท่นบูชาไม้แกะสลักปิดทองที่งดงามเอามากๆ รวมถึงโลงเก็บพระศพของ St. Ivan of Rila ส่วนผนังทั้งด้านนอกและด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังที่มีสีสันงดงามและถูกวาดขึ้นอย่างละเอียดแทบทุกตารางนิ้วของพื้นผนัง โดยเหล่าศิลปินชาวบัลแกเรียเองทั้งหมด ส่วนอาคารสี่ชั้นที่สร้างล้อมรอบตัวโบสถ์เป็นทรงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมูนั้น ปัจจุบันคือที่พักอาศัยของนักบวชและบาทหลวง (แม้ว่าในปัจจุบันจะมีนักบวชประจำอยู่เพียง 9 รูป) โรงครัว ห้องสวดมนตร์ พิพิธภัณฑ์ ห้องทำงาน ห้องขายของที่ระลึก ฯลฯ ตามแต่ที่จะใช้งาน ด้วยมีห้องมากถึง 300 ห้อง น่าเสียดายที่บนตัวอาคารนี้ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมด้านบน นอกจากผู้ที่ติดต่อมาพำนักอยู่ที่นี่เท่านั้น

สิ่งที่ไม่น่าพลาดอีกอย่างในการเที่ยวชมที่นี่ คือพิพิธภัณฑ์ (เสียเงินเพิ่มต่างหากและห้ามถ่ายรูปภายใน) ที่จัดแสดงข้อมูลประวัติความเป็นมา และของมีค่าของบัลแกเรียและจากที่อื่นๆในช่วง ศต. 14-19  โดยมีงานชิ้นเอกคือไม้แกะสลักสมัยต้น ศต. ที่ 19 เป็นทรงไม้กางเขนโดย Father Rafail (หลวงพ่อราเฟล) ที่แกะสลักไม้ท่อนเดียวขนาด 81×43 ซม.โดยใช้ลิ่มและแว่นขยาย ให้เป็นภาพจากเรื่องราวต่างๆในคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มีรูปสลักคนย่อส่วนตัวจิ๋วมากกว่า 600 คน จนสุดท้ายตัวท่านเองถึงกับทำงานนี้จนตาบอด ในส่วนของห้องสมุดเองก็มีต้นฉบับหนังสือเก่าที่คัดลอกด้วยลายมือกว่า 250 เล่ม รวมถึงหนังสือเก่าแก่ต่างๆมากกว่า 9,000 เล่ม

Rila Monastery แห่งนี้ถือเป็นอารามของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกส์ตะวันออกที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของบัลแกเรีย เป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ การศึกษาและวัฒนธรรมของบัลแกเรียมานับพันปี และศิลปะของที่นี่ก็เป็นตัวอย่างอันล้ำค่าแห่งยุค Bulgarian-Renaissance (ศต. 18-19) จึงไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้จะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1983  ฉันใช้เวลาเกินกว่า 2 ชั่วโมงในการเดินชื่นชมอารามประวัติศาสตร์แห่งนี้ น่าเสียดายที่ตัวเองไม่มีเวลาพอที่จะเดินไปตามเทรล 4 กิโลเมตรไปยังถ้ำประวัติศาสตร์ที่พำนักของ St. Ivan of Rila ในอดีต ซึ่งเป็นเสมือนผู้วางรากฐานทางจิตวิญญาณให้กับชาวบัลแกเรียมาจนถึงปัจจุบัน

Bul2WM-16

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s