ประเทศบัลแกเรีย เป็นประเทศหนึ่งในคาบสมุทรบอลข่านที่อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วๆไป ที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป ประกอบกับค่าครองชีพที่อยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่ตัวประเทศเองกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่การเป็นหนึ่งในประชาคมยุโรปอย่างเต็มตัว ทำให้ประเทศนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยในการมาเยี่ยมเยือนสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากการเผชิญหน้ากับนักท่องเที่ยวเหมากรุ๊ปกลุ่มใหญ่ที่ต่างพากันแย่งซื้อแย่งกินวุ่นวายอย่างที่พบเห็นในหลากหลายประเทศที่เป็นที่รู้จักกันดี
ฉันเดินทางมาถึงกรุงโซเฟีย เมืองหลวงของประเทศบัลแกเรีย โดยไม่ค่อยได้หาข้อมูลอะไรล่วงหน้ามากมายนัก เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการมาประเทศนี้อยู่ที่การทำธุระในต่างเมืองที่มีคนเตรียมต้อนรับอยู่ อย่างไรก็ดี ฉันมีเวลาพอที่จะเดินเล่นชิลล์ๆทำความรู้จักกับเมืองหลวงที่มีร่องรอยของอารยธรรมโบราณและรวบรวมความทันสมัยเอาไว้ด้วยกันแห่งนี้ 2-3 วัน… หลังจากคว้าแผนที่เล็กๆจากหน้าเคาเตอร์โรงแรมมาได้ ฉันก็ออกเดินในทันที เริ่มต้นกันที่แลนด์มาร์กโดดเด่นของเมืองกันเลย ซึ่งได้แก่ Alexander Nevski Cathedral มหาวิหารบัลแกเรียออร์โธด็อกส์ ขนาดใหญ่โตสร้างในสไตล์นีโอ-ไบแซนไทน์ทรงตันๆทึบทมึนมีโดมเป็นสีทองโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวงเวียนแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อตามนามของเจ้าชายแห่งรัสเซีย เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารรัสเซียในสงครามรัสเซีย-ตุรกีในระหว่างปี ค.ศ. 1877-1878 ที่ได้ช่วยปลดแอกบัลแกเรียจากจักรวรรดิออตโตมัน โดยตัวโบสถ์ที่ใช้วัสดุจากนานาประเทศในยุโรปสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1912 ตัวอาคารรูปทรงกากบาทมีโดมสูง 45 เมตร หลังคาโดมปิดด้วยทองคำเปลวแท้ๆจากการบริจาคของรัสเซีย และมีหอระฆังสูง 50 กว่าเมตร ด้านในมืดสลัวแต่ดูสงบ ขลังและยิ่งใหญ่ตามสไตล์โบสถ์วิหารของออร์โธด็อกส์
หลังจากออกมาจากตัวโบสถ์ ฉันมองเห็นตึกสไตล์ยุโรปหลังที่มีโปสเตอร์แขวนอยู่หน้าทางเข้าบ่งบอกให้รู้ว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (ตัวอักษรเขียนเป็นภาษาบัลแกเรียทั้งหมด) ฉันเลยลองเลียบเคียงเดินเข้าไปดู แล้วก็พบว่ามันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะจริงๆ แถมยังเพิ่งเปิดได้ไม่นาน (เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015) โดยการรวมเอาพิพิธภัณฑ์ศิลปะเก่าสองแห่งอันได้แก่ National Art Gallery และ National Gallery of Foreign Art เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยชื่อใหม่ว่า National Gallery Kvadrat 500 (Square 500) จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชาวบัลแกเรียเอง รวมทั้งศิลปินชาวยุโรปและจากประเทศต่างๆทั่วโลกในรูปแบบที่ทันสมัย ด้วยผลงานกว่า 2,000 ชิ้น จากที่มีอยู่ในคลังกว่า 42,000 ชิ้น อาคารที่จัดแสดงเป็นตึก 4 ชั้นที่เป็นอาคารโรงพิมพ์เดิมของรัฐ ร่วมกับการตกแต่งเพิ่มเติมด้านใน มีพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างที่เรียกได้ว่าสามารถเดินชมกันได้ทั้งวัน ที่สะดุดตาฉันก็คือผลงานศิลปะสะสมของคุณ Nicholas Roerich (ค.ศ. 1874-1947) ศิลปินนักวาดภาพ นักสะสม นักเดินทาง นักโบราณคดี และนักเทววิทยาชาวรัสเซีย ผลงานของตัวเขาเองและของสะสมจากที่ต่างๆทั่วโลกของเขา ได้รับการจัดแสดงไว้ที่นี่เป็นร้อยๆชิ้น นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะจากทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเศียรพระพุทธรูปจากเมืองไทยและพม่า ภาพพิมพ์จากญี่ปุ่น ไม้แกะสลักจากแอฟริกาใต้ หรืออเมริกาใต้ ไปจนถึงงานของชนเผ่าต่างๆ รวมไปถึงภาพเขียนจากศิลปินชาวบัลแกเรียและจากทั่วโลกอีกมากมาย ฉันเดินชมจนรู้สึกว่าท้องร้องขึ้นมาเลยต้องจำใจออกไปหาอาหารบัลแกเรียรับประทานแทนการชื่นชมศิลปะ ซึ่งร้านอาหารแบบชิคๆจัดแต่งได้อย่างทันสมัยน่าสนใจ สามารถพบเห็นได้ทั่วๆไปซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องใหญ่โตที่ได้มรดกมาจากยุคคอมมิวนิสต์
จากร้านอาหารที่ฉันเลือกเข้าไป สามารถมองเห็นโบสถ์อีกแห่งหนึ่งที่เด่นสง่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองด้วยยอดโดมแหลมทรงสูงแปลกกว่าโบสถ์อื่น มีหลังคาปูกระเบื้องสีเขียว ถามไถ่ได้ความว่าชื่อ Saint Nicholas Church หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าโบสถ์รัสเซีย ฉันเลยถือโอกาสแวะเข้าไปชมด้านในซึ่งก็ค่อนข้างมืดทึบเช่นกัน ที่สำคัญ โบสถ์นี้มีดีที่ห้องใต้ดินที่มีประตูทางเข้าแยกต่างหากข้างๆเพราะเป็นที่ที่ชาวบัลแกเรียมักจะมาเขียนคำขอพรใส่กระดาษแล้วหยอดใส่ตู้ข้างๆหลุมศพที่อยู่ด้านใน ว่ากันว่า Bishop Serafin ที่มีร่างนอนสงบอยู่ที่นี่จะช่วยดลบันดาลให้ได้สมหวังกันทุกคน
ไม่ไกลจากกันนักเป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศและเป็นที่มาของชื่อเมืองโซเฟีย อันได้แก่ Saint Sofia Church ภายในโบสถ์อันเงียบสงบ ตัวอาคารยังเห็นเป็นส่วนที่ก่ออิฐถือปูนแบบเก่าอยู่ ไม่ได้ตกแต่งเลิศหรูอะไรเลย โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคกลางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยสร้างทับโบสถ์เดิมที่มีมาก่อนหน้านั้น ตัวอาคารเป็นทรงกากบาทมีโดมอยู่ด้านบนเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโซเฟีย ข้างใต้เป็นที่ฝั่งศพโบราณตั้งแต่ช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาลมากกว่า 100 หลุม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการบูรณะเพื่อจัดแสดงให้ได้ชม เมื่อเดินออกจากโบสถ์ออมมาอีกด้านติดกับถนนใหญ่ จะเห็นเปลวไฟที่จุดอยู่กับพื้นข้างๆโบสถ์ มีสิงโตนั่งตระหง่านเฝ้าอยู่หน้าลานเปลวเพลิงที่ถูกจุดให้ติดอยู่ตลอดเวลา ที่นี่คือ Eternal Flame อนุสรณ์สถานสำหรับระลึกถึงเหล่าทหารบัลแกเรียที่ไม่ทราบชื่อในอดีตนับแสนๆคนที่ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติเอาไว้ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Monument of Unknown Soldiers ที่เปิดอย่างเป็นทางการให้ผู้คนได้ไว้อาลัยและระลึกถึง เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1981 ครบรอบการก่อตั้งรัฐบัลแกเรียมาครบ 1,300 ปี
หากเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเห็นตัวตึกใหญ่โตสีขาวๆแบบยุคคอมมิวนิสต์เรียงรายเป็นแถว บริเวณนี้เรียกรวมๆว่า Sofia Largo เป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่างๆรายล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยม (ตึกทางด้านหนึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูขึ้นชื่อของเมือง Sofia Hotel Balkan) ฉันเดินไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าทำเนียบฯ สังเกตได้จากมีทหารยามแต่งตัวเต็มยศยืนประจำการอยู่ แต่คงเป็นเวลาประจวบเหมาะที่ต้องเปลี่ยนเวรยามพอดี ฉันจึงมีโอกาสได้เห็นทหารสับขาเดินไปมา ก่อนกลับเข้ายืนที่เดิม ฉันเดินเลาะไปตามประตูที่มีรูปสิงโตอยู่ ที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นสัตว์ตราสัญลักษณ์ของประเทศบัลแกเรีย เมื่อเดินเข้าไปด้านใน จึงเห็นว่าตรงลานตรงกลางล้อมรอบด้วยตึกขาวๆเหล่านี้ เป็นที่ตั้งของอาคารโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโซเฟีย อันได้แก่ Saint George Rotunda ซากปรักหักโดยรอบกับอาคารทรงกลมของโบสถ์โบราณที่เห็นมีอายุเก่าแก่ถึงพันหกร้อยกว่าปี นั่นหมายถึงย้อนยุคไปถึงสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจกันเลยทีเดียว โบราณสถานอันเป็นมรดกโลกที่เห็นตรงหน้านี้ช่างซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอาคารใหญ่โตที่รายล้อมอยู่อย่างแปลกแยกและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ความเป็นโรมันของเมืองหลวงแห่งนี้เริ่มปรากฏแก่สายตาฉันมากยิ่งขึ้น เมื่อได้เดินลอดทางเดินใต้ดินเพื่อข้ามถนน ฉันถึงกับงงงวย (จากความที่ไม่มีข้อมูลล่วงหน้ามาก่อน) เป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากทางเดินใต้ดินที่มีป้ายชี้แยกออกไปหลายต่อหลายทางแล้ว ยังมีซากโบราณสถานที่เหมือนกำแพงอยู่ที่ทางเดินใต้ดินนี้อีก ฉันรี่อ่านป้ายเท่าที่พอจะมีภาษาอังกฤษเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อพบว่าใต้เมืองหลวงอันทันสมัยแห่งนี้ มีซากอารยธรรมเดิมของยุคโรมันโบราณอยู่ การลงปั้นจั่นสร้างตึกทุกครั้งจะเจอกับซากโบราณสถานของโรมันอยู่บ่อยๆ และแผนการสร้างระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็ทำให้พบซากเมืองโบราณทั้งเมืองอยู่ใต้ถนนใจกลางเมืองของโซเฟียนั่นเอง ไม่ว่าจะเดินไปไหนในบริเวณนี้จึงพบกับการบูรณะ และซากโบราณสถานหรือโบราณวัตถุจัดแสดงไว้ตลอดทาง ไม่เว้นแม้แต่ทางใต้ดิน เมื่อมาค้นประวัติเพิ่มเติมจึงพบว่า เมืองโซเฟียนี้ เดิมชื่อ Serdica ที่มีชาวทราเชี่ยนมาตั้งรกรากมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล เมื่อถูกโรมันเข้ายึดครอง เมืองนี้ก็ได้ชื่อว่า Ulpia Serdica ซึ่งถือเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในยุคโรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชนั้น โปรดปรานเมืองแห่งนี้มาก ถึงกับเอ่ยออกมาว่า “Serdica That is my Rome” (เซอร์ดิก้า คือเมืองโรมของข้า) เลยทีเดียว ชื่อเมือง Serdica ถูกเปลี่ยนมาเป็นชื่อ Sofia ตามชื่อโบสถ์เก่าแก่ของเมืองเมื่อปี ค.ศ. 1329 มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเดินโผล่ออกมาบนพื้นถนนอีกครั้ง จะมองเห็นรูปปั้นของเซนต์โซเฟีย (Statue of Steva Sofia) สูง 8 เมตรยืนอยู่บนฐานสูงอีก 16 เมตรโดดเด่นอยู่กลางถนน รูปปั้นที่ทำจากทองแดงและบรอนซ์นี้ถูกนำมาวางไว้เมื่อไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมาตรงบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เลนินมาก่อน (ถูกเคลื่อนย้ายออกไปในช่วงที่มีการรณรงค์ประชาธิปไตยในประเทศ) ว่ากันว่า ชาวเมืองไม่ยอมเรียกรูปปั้นโซเฟียนางนี้ว่าเซนต์โซเฟีย ตามที่ควรจะเป็น เนื่องจากนางดูอีโรติกและนอกรีตเกินกว่าที่ชาวบัลแกเรียที่เคร่งศาสนาจะรับไหว
จากจุดนี้ ฉันสามารถเดินไปชิลล์ต่อที่ถนนคนเดิน Vitoshka ได้เลย บริเวณนี้มีร้านรวงแบรนด์เนม รวมถึงร้านอาหาร ที่นั่งกินดื่มริมถนนตลอดเส้นทาง ชาวเมืองเองจะพาลูกจูงหลาน หรือชวนเพื่อนๆมาแฮงค์เอ้าท์กันแถวนี้ แต่ที่แปลกตาสำหรับฉันคือ แม้ว่าชั้นล่างจะเป็นร้านค้าที่ตกแต่งหรือขายของที่ทันสมัยอย่างไร แต่ตัวอาคารกลับเป็นอาคารทรงใหญ่โตสูงสี่ห้าชั้นดูทมึนทึมดั้งเดิมมาจากยุคคอมมิวนิสต์นั่นเอง
ฉันนั่งพักจิบกาแฟริมถนน พรางคิดในใจว่านี่อาจเป็นเสน่ห์ของโซเฟียที่สามารถพบเห็นร่องรอยของประวัติศาสตร์แฝงอยู่ตลอดเวลาของการใช้ชีวิตประจำวัน…