กลับมาเล่ากันต่อ…หลังจากที่เอาคลิปปลากระเบนราหูมาขั้นจังหวะ เปลี่ยนอารมณ์
ฮาลมาเฮร่าเป็นเกาะอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ในเขตหมู่เกาะ Molucca แล้ว เหตุผลที่มาที่นี่…?
ก็เพื่อเจ้าปักษาสวรรค์ตัวแรกในชีวิต ที่ (หวังว่า) จะได้เห็นไง
ก่อนมาที่นี่ ก็พยายามหาข้อมูลการเดินทางเต็มที่ แต่แทบทุกคณะดูนกมาที่นี่โดยใช้บริการทัวร์ทั้งน้าน…
แล้วเรื่องราคาก็ไม่ต้องพูดถึงอ่ะ…แพงกระชูด เรื่องของเรื่องคงเป็นเพราะ คนที่นี่ฟังและพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้
การทำอะไรก็เลยต้องลำบากพอสมควร ถ้าพูดภาษาของเขาไม่ได้…
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรา (ฉันกับคุณ MDR) ก็ตัดสินใจ…ลุย…มาเองเลย
โดยมีคุณโลกาว้าเหว่ (Lonely Planet) กับรายงานดูนกของคนอื่นๆเป็นไกด์ไลน์
เริ่มจากนั่งเครื่องจากมานาโดมาที่เกาะเทอนาเต้ Ternate ก่อนจะต่อเรือข้ามมาที่เมือง Silanggoli บนเกาะฮาลมาเฮร่านี่หล่ะ
ที่พัก ก็เปิดเอาจากคุณโลกาว้าเหว่ Walk-in กันเลย ไม่มีการจอง…ใจกล้าจริงๆนะเรา
อุปสรรคแรก จากสนามบินที่เทอนาเต้ไปท่าเรือ พวกเราเรียกแท็กซี่ที่สนามบินที่โก่งราคามหาโหด ทั้งๆที่สนามบินออกห่วยแตกขนาดนั้น
แท็กซี่ผีจับกลุ่มโก่งราคาเท่ากันหมด…โอ…ชีวิต…หลังจากที่เดินหนีไปสองรอบ ไม่รู้จะไปทางไหนดี จู่ๆ ก็มีคนรับข้อเสนอที่ฉันต่อราคาลงครึ่งหนึ่ง
(ซึ่งก็ยังแพงอยู่ดีแต่ช่วยไม่ได้) เพิ่งมารู้ที่หลังว่า พี่แก รับผู้หญิงคนรู้จักคนหนึ่งขึ้นไปแล้ว สรุปว่า…แกมารับคนนี่เอง หารายได้พิเศษโดยรับพวกนักท่องเที่ยวเข้าเมืองไปด้วยเลย…ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษกันแทบไม่รู้เรื่อง ก็แค่ราคายังต้องเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัวเลขเลยอ่ะ…
อุปสรรคที่สอง เมื่อไปถึงท่าเรือข้ามไปเกาะ โดนโก่งราคาอีกแล้วตรู…ราคาแพงกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาสองหมื่นรู (ชาวบ้านจ่ายสามหมื่น ฉันจ่ายห้าหมื่นอ่ะ) เอาก็เอา ขึ้นไปนั่งบนเรือสปีดโบ้ทหลังคาต่ำรอคนขึ้นมาเพียบลำนั่นแหละ เรือถึงออก…ผู้โดยสารน่ะนั่งครึ่งตัวอยู่ใต้น้ำน่ะ ถ้าจะว่าไป คือเรือมันต่ำมากไง…
อุปสรรคที่สาม ไปถึงเมืองสิลังโกลี ฉันก็เดินจากท่าเรือออกมา มีสามล้อเข้ามาจอด แต่ด้วยความหาญกล้าเลยไม่ขึ้น เพราะอ่านจากคู่มือแล้ว โรงแรมที่เราจะไปพักนี่ มันไม่น่าอยู่ไกล รับรองไม่เกินห้าร้อยเมตรจากท่าเรือ…ตรูเดินเอาเลย แบกเป้เป็นเป้าสายตาคนนี่แหละ ถามทางใครก็ไม่รู้เรื่อง ได้แต่ชี้นิ้ว โชคดีที่คงมีที่พักอยู่ไม่กี่ที่ เขาเลยคงพอเดาๆกันได้…เดินไปตามทิศทางที่คนขายน้ำริมท่าเรือชี้ (ความจริงมันก็มีแค่ซ้ายกับขวาเท่านั้นแหละ) ไปสักพัก…อยู่ไหนวะเนี่ย?…เด็กๆ เพิ่งเลิกเรียนเดินตามกันเป็นพรวน…แต่ยิ้มแย้มน่ารักมากค่ะ…แต่ใครก็ได้ช่วยพูดภาษาอังกฤษบอกทางตรูหน่อย…!!!
ในที่สุด ฉันก็เดินมาถึงที่พักได้ ด้วยความช่วยเหลือของชาวบ้านที่พูดภาษาอังกฤษได้แบบว่า เคยเรียนมาแต่ไม่ค่อยได้ใช้น่ะ…ช่วยเหลือสุดยอด
โชคดีที่ไม่เดินอ้อมไปทางไหน ไปตามทางเรื่อย เลี้ยวขวาตรงท่ารถนิดหนึ่ง ถึงแล้ว เย้…แต่
เจ้าของที่พักพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ค่ะ…ฮ่า ฮ่า อันที่จริงฉันยังไม่รู้เลยว่าคนไหนเป็นเจ้าของ เพราะพอเข้าไปก็เจอคนเชื้อสายแขกที่นั่งอยู่ที่หน้าโรงแรมสองสามคนเข้ามาพยายามพูด..แต่ขอโทษ ไม่ใช่เจ้าของค่ะ แต่คงเป็นเพื่อน เห็นตะโกนถามหากุญแจกันสักพัก บอกราคาด้วยการกดเครื่องโทรศัพท์..โห..ถูกมากห้องละสักแปดหมื่นกว่ารูน่ะ…พวกเราตกลงทันที เรื่องอื่นไว้ว่าที่หลัง เพราะคุยกันม่ายรู้เรื่อง…ห้องมีเตียง มีโต๊ะเครื่องแป้ง มีหน้าต่าง มีห้องน้ำแบบตักอาบกับส้วมแบบนั่งยองๆ โอเช…ไม่มีแขกอื่นด้วย
พักผ่อนกันสักพัก ก็เดินออกมาพยายามจะถามข้อมูลคนที่โรงแรม ซึ่งตอนนี้เริ่มมารวมตัวกันมากขึ้น (เพื่อดูคนแปลกหน้า) แต่ละคนพูดภาษาอังกฤษได้ประมาณคนละไม่เกินสามคำ…แหง่ว…จะพึ่งคู่มือโลกาว้าเหว่ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรบอกเกี่ยวกับเส้นทางดูนก จะพึ่งรายงานดูนกของคนอื่น ก็มีแต่บอกชื่อสถานที่ที่จะไปได้ แต่ไม่ได้บอกว่าไปยังไง (ทุกคนนั่งรถที่ทางทัวร์จัดให้หมด) ฉันควักหนังสือคู่มือดูนกออกมา ชี้ไปที่เจ้าปักษาสวรรค์ พร้อมพยายามพูดชื่อภาษาพื้นเมือง กับชื่อสถานที่…ได้ผลทุกคนเข้าใจ แล้วก็ชี้มือไปนู้น…บนเขาไกลๆ ทำนองนั้น แล้วชื่อของ Mr. Anu ก็โผล่ขึ้นมา แน่นอนว่าเจ้าของโรงแรมรู้จักชื่ออานุ แต่พูดทำนองว่าแกไม่อยู่ในเมือง ไปต่างเมือง (พานักดูนกคนอื่นไป) แต่ไม่ว่าจะคุยยังไง ฉันก็ไม่สามารถรู้วิธีที่จะติดต่อคุณอานุนี่ได้ คุณอานุ เป็นไกด์ในตำนาน คือมีเขียนอยู่ในรายงานดูนกที่นี่แทบทุกฉบับ เพราะแกเป็นคนที่รู้ที่ดิสเพลย์ของนกปักษาสวรรค์ที่นี่น่ะ เอาเป็นว่า ถ้าไม่เจอแก ก็คงยากที่ได้เห็นนก…
แล้วโชคก็มาเข้าข้าง..เมื่อในที่สุดพวกเราสามารถต่อรองเช่ามอเตอร์ไซด์ได้ โดยใช้ศัพท์ภาษาพื้นเมืองในหนังสือเป็นสื่อ เรื่องของเรื่องคือ เจ้าของรถพูดภาษาอังกฤษพอได้น่ะ (หน้าตาประมาณวินดีเซล) เย้…เราเลยได้ข้อมูลมาพอสมควรว่าจะไปขึ้นเขาที่ว่าที่เขาดูนกกันยังไง แกอธิบายเขียนแผนที่ให้เสร็จสรรพ แต่ไม่รู้ว่าปักษาสวรรค์อยู่ที่ไหน รู้แต่ทางเข้าเทรลเท่านั้น…ซึ่งดูเหมือนคนในหมู่บ้านที่นี่ก็จะรู้อยู่แค่นั้น มอเตอร์ไซด์รับจ้างต่างๆจะรู้ทางเข้าเทรล แต่ไม่มีใครรู้จุดจริงๆว่าอยู่ที่ไหน…เอาเหอะ…อย่าน้อยพวกเราก็ตั้งโปรแกรมไว้ว่า จะขี่รถไปภูเขาที่ว่าตอนเช้า ดูนกมันไปเรื่อยๆ ไม่เจอปักษาสวรรค์ก็ไม่เป็นไร (วะ) เส้นทางดูนกที่ว่านี้ เป็นเส้นทางทำไม้ (logging trail) ห่างจากหมู่บ้านไปร่วมยี่สิบโล เจ้าของรถบอกทางไปบ้านอานุให้ด้วย แต่ก็ยืนยันกันว่าแกไม่อยู่บ้าน ช่วงนี้…เอาน่า
ตกเย็น โรงแรมไม่มีอาหาร ก็ต้องไปหาร้านกินกันอีก ได้ร้านริมท่ารถเจ้าของอารมณ์ดี สั่งโดยชี้นิ้วเอา มีลูกสาวพูดกันรู้เรื่องนิดๆหน่อยๆ กินกันเต็มคราบ คนละหมื่นรูเอง (ประมาณสี่สิบบาท) เลยได้ผูกปิ่นโตกินกันที่นี่กันหลายมื้อ…จนสนิทสนมกันอย่างดี ถึงกับจะนั่งเรือไปส่ง…แน้…
และแล้ววันดูนกก็เริ่มขึ้น เจ้าของมอเตอร์ไซด์ก็ดีใจหาย ขี่นำทางไปส่งถึงทางเข้าเทรลเลย น่ารักจริงๆ…พวกเราขี่รถเข้าเทรลเส้นทางทำไม้ไปสักระยะ ถนนขรุๆขระๆ จนดูท่าจะไม่ไหว ก็เลยเดินต่อเอา…นกเหรอ นกใหม่ล้วนๆอ่ะ ก็มันคนละเขตกับที่สุลาเวสีแล้วนี่ นกแปลกๆใหม่ทั้งนั้น แต่ไม่บอกว่าเจออะไรบ้าง…ใครได้ไปดู หาข้อมูลไว้ ก็จะรู้เอง จะเจอมากเจอน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง…
เดินกันได้จนเกือบเที่ยง ก็ลองเดินเข้าเส้นทางเล็กๆที่คาดว่าจะเป็นทางไปบ้านของอานุดู…แล้วก็เจอจริงๆ มีกระต๊อบอยู่สองหลัง มีโต๊ะ…ดูๆไปแล้ว น่าจะเป็นที่ของอานุนี่แหละ แต่ไม่มีใครอยู่เลย…บ้านเขาตั้งอยู่บนยอดเนิน โห…นกบินผ่านเพียบ โดยเฉพาะนกจำพวกนกแก้วทั้งหลาย สีสันสดสวย ร้องเสียงดังเชียว นกเงือกประจำถิ่นก็มี…พวกเราเลยตั้งหลัก ดูนกมันตรงนี้แหละ…พอจะมองเห็นทางเดินเข้าป่าลึกเหมือนกัน แต่…ถึงเดินไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าปักษาที่ว่ามันจะอยู่ตรงไหน…แล้วโชคก็เข้าข้างอีกครั้ง เมื่อมีผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมา เธอเป็นภรรยาของคุณอานุนี่เอง พูดภาษาอังกฤษพอได้ แล้วเราก็เลยรู้ว่า อานุกลับมาจากต่างเมืองแล้ว กำลังพานักดูนกขึ้นไปดูปักษาสวรรค์ Wallace’s Standardwing ที่ว่าอยู่ คงจะกลับลงมาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนี้…พวกเราเลยรอจนแกกลับมา พร้อมนักดูนกชาวยุโรปอีกสามคน ทุกคนได้เห็นนกที่ว่ากันทุกคน ฉันไปเลียบๆเคียงๆถาม ก็พบว่า คุณอานุแกก็ไม่ว่างพรุ่งนี้อยู่ดี เพราะต้องนำดูนกให้กลุ่มที่ว่า…แง…แต่แล้ว แกก็บอกว่า แกมีผู้ช่วยพาขึ้นได้ แต่พูดอังกฤษไม่ได้นะ แล้วก็เลยตกลงราคากัน (ขอบอกว่าแพงมาก) แกคงชักค่านายหน้าเรียบร้อย แต่ช่วยไม่ได้นี่นะ
เส้นทางเดินขึ้นไปดูนกเป็นอย่างไร ไปหาเอาจากรายงานของท่านอื่น ประมาณว่าเดินตั้งแต่ตีสามตีสี่น่ะ ไปให้ถึงก่อนสว่าง ทางเดินมืดๆ ขึ้นๆลงๆ ข้ามน้ำสองสามที ชันและลื่นในช่วงสุดท้าย…สรุปง่ายๆแบบนี้แหละ พวกเราโชคดีที่ไปถึง มีห้างที่ผูกขึ้นไปบนต้นไม้เสียสูงเชียวอยู่ (อานุมาบอกที่หลังว่าทีมถ่ายทำสารคดีทำเอาไว้ช่วงที่ผ่านมา) ฉันเลยถือโอกาสขึ้นไปนั่งรอชมบนนั้นเลย อิ อิ ถึงจะหวาดเสียวสุดชีวิตเวลาขึ้นลงบันไดลิงนั่นก็เถอะ…
แล้วการรอคอยก็สมหวัง…เสียงดังหนวกหูของพวกมันมาก่อนเลย กระหึ่มรอบตัว แล้วเจ้าตัวก็โผล่มาให้เห็นบนกิ่งไม้ระดับสายตาของฉัน…แบบว่า ใช้สโคปส่องแล้วเห็นไม่ทั้งตัวน่ะ เพราะใกล้เกิน…ทำไมหน้าตามันหน้าเกลียดแบบนั้นล่ะ?…แต่แล้วก้านปีกสีขาวของมันก็แผ่ออกรอบตัวสีน้ำตาล ..เหมือนธงนำทัพโบกสบัด (ที่มาของคำว่า Standardwing-ในที่นี่หมายถึงธงที่โบกนำทัพสมัยก่อน นึกถึงเรื่องสงครามครูเสดหรืออเล็กซานเดอร์ดูก็ได้…) พร้อมโก่งคอโชว์แผงหน้าอกสีเขียวปีกแมงทับ ดูสง่างามเหมือนในหนังสารคดีของบีบีซี…สุดยอดค่ะ…มันพองตัวส่งเสียงร้องดีสเพลย์กันจนสว่างอ่ะ ไม่ไปไหนสักที จนฉันต้องปีนลงจากต้นไม้เดินกลับก่อน เพราะมันไม่ไปสักที…ขากลับทางสว่างโล่ง จึงรู้ว่าระหว่างทางป่าโดนตัดไปเยอะมาก เยอะจริงๆ เรียกว่าโดนทำไม้กันสุดฤทธิ์ เหลือป่าดิบๆจริงๆเป็นหย่อมเล็กๆเท่านั้น…
และข่าวล่าสุดที่ได้รับมา ช่วงที่เขียนอยู่นี่ก็คือ คุณอานุจะต้องย้ายบ้านภายในไม่ช้านี้ เพราะบริเวณที่แกอยู่จะถูกทำไม้หมดแล้ว…เลิกพูดถึงน้องปักษาสวรรค์ได้เลย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ต่อไปจะไปหาดูได้ที่ไหน อย่างไร ถ้าไม่มีที่นี่ ที่ที่การันตีเห็นนกแทบร้อยเปอร์เซ็น ถ้าคุณไปถึงที่…
ไฮไลน์การดูนกที่นี่ก็คือเจ้านี่ แล้วฉันก็ไม่เสียเที่ยวที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเกาะแห่งนี้ เวลาที่เหลือหมดไปกับการขี่มอเตอร์ไซด์แวะดูนกตามจุดต่างๆที่คิดว่าดี…นกบนเกาะฮาลมาเฮร่า มีบางชนิดพันธุ์ที่กระจายพันธุ์มาจากทางออสเตรเลีย เลยมีนกกระตั้ว นกแก้วสีสันสดใสต่างๆ และพวก Honeyeater ให้เห็น ป่าตรงที่ยังดีอยู่ มันก็สวยจริงๆอ่ะ บางทีเมื่อถนนขึ้นที่สูง ยังมองเห็นภาพเกาะภูเขาไฟเทอนาเต้ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งเกาะข้างเคียงด้วย เรียกว่าสุดยอด…เรื่องวิว..ไม่แพ้ที่ไหน
ผู้คนที่นี่ก็น่ารักมาก ระหว่างที่ขับรถผ่าน เด็กๆ ออกมาทักทายกันเป็นทิวแถว หลังจากที่วันแรกอ้าปากหวอ มองตามว่า ไอ้พวกตัวประหลาดพวกนี้มาจากไหน (ไอ้ฉันน่ะไม่เท่าไหร่ หน้าตาเหมือนคนพื้นเมือง แต่คนข้างตัวที่มาด้วยเขาหัวทองตาสีฟ้าน่ะ) ชาวบ้านรู้เรื่องการไปมาของพวกเรา และช่วยเหลือเป็นอย่างดี ที่สำคัญตอนนั่งเรือกลับ คนเรือที่นี่กลับไม่โก่งราคาเลยอ่ะ…ทั้งๆที่ฉันทำใจไว้แล้วเชียวนะว่าจะต้องจ่ายแพงกว่า…คนขับเรือหันมาบอกราคาฉันเสร็จสรรพ ตอนที่เด็กเก็บเงินเดินมา…น่ารักจริงๆ ไม่เหมือนคนที่เทอนาเต้เลย…
กลายเป็นว่า ช่วงการเดินทางที่ฉันกะว่าต้องใช้เงินมากที่สุด (ตามที่ได้ยินได้ฟังมา) กลับเป็นที่ที่ฉันใช้จ่ายเงินน้อยที่สุด เพราะกินอยู่แบบชาวบ้าน ไม่ได้มากับทัวร์อ่ะ ราคาก็เลยเป็นราคาชาวบ้าน แม้มีปัญหาเรื่องภาษาจนน่าถอดใจอยู่บ้าง แต่สุดท้าย ก็มีคนพอพูดได้มาช่วยเอาไว้ทุกที…แล้วฉันก็ได้ภาษาพื้นเมืองที่นี่มาหลายคำ ที่เป็นประโยชน์มากกับการเดินทางในช่วงต่อๆไป…
