
หลังจากที่เดินเที่ยวชมเมืองหลวง Tbilisi (ทบิลิซี) ของประเทศจอร์เจียพอเป็นน้ำจิ้มกันไปแล้วเมื่อตอนก่อน คราวนี้ฉันตัดสินใจเช่ารถขับออกจากเมืองหลวงเพื่อไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ นอกเมืองกันบ้าง เนื่องการการคมนาคมของประเทศจอร์เจียยังไม่ครอบคลุมขนาดที่ว่าเดินทางกันได้ด้วยรถไฟไปทั่วประเทศ หรือมีรถประจำทางไปส่งกันถึงหน้าสถานที่ท่องเที่ยวกันแบบไม่ต้องหาทางไปต่อ การเดินทางโดยรถยนต์จึงน่าจะสะดวกและรวดเร็วที่สุด โดยถ้าไม่เช่ารถขับเองก็เช่ารถที่มีคนขับให้ หรือไม่อีกทีก็ซื้อทัวร์พาไปเลย แน่นอนว่าฉันเลือกที่จะเช่ารถขับเองเพราะความสะดวกสบายส่วนตัว โดยใช้แผนที่กูเกิ้ลจากโทรศัพท์มือถือตัวเองเป็นเครื่องมือนำทาง จริงๆ ตอนติดต่อเช่ารถนั้นจะถามหา GPS เหมือนกัน แต่ทางคนปล่อยเช่าบอกว่าใช้กูเกิ้ลแม็พในโทรศัพท์ดีกว่าเพราะ GPS ที่นี่ไม่อัพเดท (เมื่อบินมาถึงที่นี่ สามารถซื้อซิมใส่มือถือเพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้ที่สนามบินเลย ราคาถูกแพงต่างกันตามแต่เครือข่ายและการใช้งาน)
ถ้าพูดถึงการออกไปเที่ยวนอกเมืองหลวงของจอร์เจียนั้น ทางเลือกง่ายๆคือ หนึ่ง ไปสายประวัติศาสตร์เที่ยวชมโบราณสถานที่ย้อนอดีตไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าดินแดนแห่งนี้ได้ผ่านอารยธรรมต่างๆ มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี หรือ สอง ไปสายธรรมชาติเที่ยวชมความงามของเทือกเขาคอเคซัส ป่าเขาและถ้ำ ไปจนถึงทะเลดำทางทิศตะวันตกสุดของประเทศ หรือ สาม จะไปสายชมไร่องุ่น ชิมไวน์ของจอร์เจีย ที่มีวัฒนธรรมการผลิตไวน์มาอย่างยาวนาน มีการค้นพบไหบรรจุไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นพันๆ ปีและที่สำคัญไวน์ที่นี่มีราคาถูกมาก ในตอนนี้ฉันขอแนะนำสถานที่ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ 2-3 แห่งที่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนัก เรียกว่าจะไปกันแบบเช้าเย็นกลับก็ได้ และใครๆที่มาจอร์เจียครั้งแรก ก็คงหนีไปพ้นไปเยี่ยมชมสถานที่เหล่านี้



(From left to right: Jvari Cathedral, ภาพเขียนสีจำลองภาพ “Wonderworking” หรือ Iviron Theotokos (Our Lady of Iveron) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Panagia Portaitissa ที่พบเห็นได้บ่อยในโบสถ์ต่างๆของจอร์เจีย (ภาพจริงเขียนโดย Luke, the Evangelist ตั้งแต่ปี ค.ศ. 999 ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีก, บรรยากาศภายในโบสถ์ Jvari อันเก่าแก่)
หลังจากที่หลุดการจราจรอันจอแจในเมืองทบิลิซีออกมาบนทางหลวงได้ ฉันขับรถมุ่งหน้าไปทางเหนือประมาณ 25 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง Mtskheta (มตซึเคตา) เมืองหลวงเก่าของจักรวรรดิ์ไอบีเรียแห่งจอร์เจียตะวันออกมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 3 และถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของจอร์เจีย อันเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีต จุดแวะเที่ยวชมหลักที่ฉันไปเยี่ยมชมคือที่ Jvari Monastery (โบสถ์จวารี) ซึ่งมีตัวโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นจากหินเป็นรูปทรงกากบาท (โบสถ์คริสต์ในจอร์เจียส่วนใหญ่จะสร้างเป็นรูปทรงนี้) ตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 6 ตั้งอยู่บนหน้าผาบนเนินเขา Jvari ใกล้ๆ ตัวเมือง Mtskheta ตัวโบสถ์อันเก่าแก่นี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของงานสถาปัตยกรรมยุคกลางตอนต้นของศาสนาคริสต์ฯ ในจอร์เจียที่ยังหลงเหลือจากการเผาทำลายจากการผ่านอารยธรรมยุคต่างๆ มาได้จนถึงปัจจุบัน จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับการวางรากฐานของคริสตศาสนาในจอร์เจียเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางวัฒนธรรมควบคู่ไปด้วยกันกับตัวเมืองเก่า Mtskheta มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 จากบนเนินนอกตัวโบสถ์จะสามารถมองเห็นตัวเมืองหลวงเก่าทั้งเมืองที่ตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายโดยมีแม่น้ำ Aragvi (อรักวี) ที่ไหลมาจากทางเหนือ ไหลมารวมกับแม่น้ำ Mtkwari (มตควารี) หรือ Kura (คูรา) ที่ไหลมาจากทางทิศตะวันตก ก่อนจะรวมเป็นแม่น้ำ Mtkwari ที่ไหลลงใต้ผ่านกรุง Tbilisi ต่อไป


โบสถ์เก่าแก่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ควรไปเยี่ยมชม เมื่อเข้าไปในเมืองหลวงเก่า Mtskheta คือ Svetitskhoveli Cathedral (โบสถ์สเวติคซโคเวรี) โบสถ์ออร์โธด็อกส์เก่าแก่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลาง แต่ตัวอาคารสถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างขึ้นมาในช่วงคริสตศตวรรษที่ 11 นอกจากตัวสถาปัตยกรรมและภาพเขียนสีภายในที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว โบสถ์แห่งนี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และราชวงศ์ของประเทศจอร์เจียหลายพระองค์ (อย่าลืมแต่งตัวให้สุภาพและนำผ้าคลุมผมติดตัวไปด้วยเวลาเยี่ยมชมโบสถ์ออร์โธด็อกส์ต่างๆ ถ้าไม่อยากใช้ผ้าคลุมปนกับคนอื่นที่ทางโบสถ์มีไว้ให้ยืม)
จากเมือง Mtskheta มีทางเลือกหลักๆ สองทางสำหรับนักท่องเที่ยวให้ไปต่อ หนึ่งคือขึ้นไปทางเหนือเพื่อชมเขาคอเคซัสอันงดงาม (ซึ่งฉันจะขอกล่าวถึงต่อไปในตอนอื่นหลังจากนี้) และสองคือขับรถไปทางทิศตะวันตกออกไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ สู่เมือง Gori (โกรี) เมืองอันเป็นบ้านเกิดของโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) อดีตผู้นำของสหภาพโซเวียต ที่หากมีเวลาก็สามารถแวะเยี่ยมชมบ้านเกิดและพิพิธภัณฑ์สตาลินได้ แต่ที่ฉันขอกล่าวถึงในที่นี้คือแหล่งอารยธรรมที่เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์เจียที่ห่างจากเมือง Gori ไปไม่ไกล นั่นคือสถานที่ที่เรียกว่า Uplistsikhe (อับลิสต์ซิเคะ) เมืองถ้ำโบราณบนหินผา หนึ่งในชุมชนเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของจอร์เจียและวัฒนธรรมคอเคซัส
อนึ่ง ถนนจาก Mtskheta ไปยัง Gori นั้น เป็นถนนไฮเวย์ชั้นดี ขับรถสบายๆ ไม่มีปัญหา แต่พอเริ่มเข้าตัวเมือง ถนนจะแคบและบางเส้นเป็นทางวันเวย์ (ที่ไม่ได้บอกไว้ในกูเกิ้ลแม็พ) ส่วนถนนนอกเมืองไปยัง Uplistsikhe นั้น เป็นถนนราดยางสองเลนแบบขับรถสวนทางกัน แต่รถไม่มากมายแบบเมืองไทย วิวทิวทัศน์สองข้างทางก็แปลกตาชวนให้หยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ โชคดีที่ถนนในชนบทของประเทศจอร์เจียไม่ได้มีกฎจราจรที่เข้มงวดแบบในเมืองยุโรปใหญ่ๆ เรียกว่าคล้ายๆ กับบ้านเรามากกว่า เลยสามารถจะหยุด จอด กลับรถได้ค่อนข้างตามใจ ระหว่างขับรถ บ้างก็มีชาวบ้านออกมายืนคุยกลางถนน หรือรถคันหน้าหยุดจอดคุยกับคนข้างทางหรือรถอีกคันกลางถนนกันแบบไม่เร่งร้อน สิ่งที่ต้องระวังให้มากคือ สัตว์ต่างๆ ที่เดินกันเพ่นพ่านทั้งข้างถนน กลางถนน หรือข้ามถนน ไม่ว่าจะเป็นสุนัข วัว แพะ หมู ฯลฯ ซึ่งลักษณะแบบนี้จะพบเห็นได้บนถนนนอกเมืองแทบทุกทีที่ไม่ใช่ถนนไฮเวย์เส้นหลักๆ






Uplistsikhe ตั้งอยู่บนภูเขาหินทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Mtkwari เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของชุมชนโบราณที่มีการถูกกล่าวถึงในพงศาวดารที่ย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ของประวัติศาสตร์กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล ผู้คนในสมัยนั้นใช้ประโยชน์จากการขุดหินตามหน้าผาเป็นโพรงถ้ำขนาดต่างๆ เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย ชุมชน รวมถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ถือเป็นซากอารยธรรมที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่หลายพันปี เป็นศูนย์กลางทางศาสนา การเมือง การค้าและวัฒนธรรมที่สำคัญในยุคคลาสสิคหรือกรีก-โรมันโบราณ มีการตัดหินเป็นบันไดเส้นทางเดิน ห้องโถงที่ใช้งานในโอกาสต่างๆ รวมไปถึงอัฒจันทร์ชมการแสดง ซ้อนกันขึ้นไปบนหน้าผาหินขนาดใหญ่เห็นได้จากที่ไกลๆ คำว่า Uplistsikhe มีความหมายว่าป้อมปราการของเจ้านาย (Lord’s Fortress) ถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดเชื่อว่าขุดใช้กันมาเมื่อสามพันกว่าปีก่อน ในขณะที่ถ้ำส่วนใหญ่ถูกตัด/สร้างขึ้นในสมัยคลาสสิค เมืองถ้ำบนหินผาแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง คูเมือง อุโมงค์ ถนน ท่อน้ำประปา รวมไปถึงเส้นทางระบายน้ำ โดยบางถ้ำก็มีการตัดเพิ่มหรือเสริมเติมแต่งเพื่อใช้ประโยชน์ใหม่ในยุคกลาง ด้านบนสุดของ Uplistsikhe เป็นที่ตั้งของอาคารที่สร้างขึ้นประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 10 ที่เรียกกันว่า Uplistsuli Church (โบสถ์อัพลิสต์สุลี) ที่มีสถาปัตยกรรมเป็นแบบโบสถ์คริสตศาสนาของจอร์เจีย ว่ากันว่า เมืองถ้ำบนผาหินแห่งนี้มาถึงยุคมืดเมื่อชนเผ่ามองโกลมีอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 13-14 หลังจากนั้นเมืองนี้ก็ถูกทิ้งร้างไป จนมีการค้นพบใหม่และบูรณะขึ้นมาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน








ในการเข้าเยี่ยมชมเมืองบนหน้าผาหินโบราณ Uplistsikhe นี้ จากที่จอดรถด้านนอกจะต้องเดินเท้าไปตามทางและไปไต่ขึ้นไปตามบันไดเหล็กที่ต่อเติมขึ้นมาเพื่อสร้างความสะดวกให้นักท่องเที่ยว พอขึ้นไปได้สักระยะก็จะเห็นร่องรอยอารยธรรมโบราณเป็นทางเดิน ห้องโถง ถ้ำต่างๆ บางจุดมีกำแพงล้อมรอบ บางจุดขุดลงไปบนพื้นหินเป็นรูปสัญลักษณ์และใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ ผู้เข้าชมจะต้องเดินไต่ไปตามหน้าผาหินเรื่อยๆ จนไปถึงจุดสูงสุดด้านบนคือโบสถ์ที่กล่าวมาแล้ว (ยังใช้การอยู่ในปัจจุบัน) จากด้านบนจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เมื่อเดินกลับลงมาจะมีทางเดินให้บังคับเดินผ่านอุโมงค์โบราณลงมาด้านล่าง (ไม่สวนทางคนที่เดินขึ้นมา) แล้วจึงออกมาสู่ศูนย์บริการ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ก่อนออกไปที่จอดรถอีกครั้ง สิ่งที่ควรระวังของการมาเยี่ยมชมที่นี่คือการใส่รองเท้าและเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมพอที่จะเดินขึ้นลงเขาได้ เพราะถึงแม้ช่วงแรกจะมีบันไดให้ไต่ขึ้น แต่เมื่อถึงด้านบนก็จะเป็นการเดินไปตามหน้าผาหินเปล่าๆ อีกทั้งบางครั้งจะมีลมพัดแรงมากจนตัวแทบปลิวได้ โดยส่วนตัว ฉันไปเยี่ยมชมในตอนเช้า ซึ่งมีรถน้อยมากเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จอดรถตรงลานตามปกติโดยไม่คิดอะไรมาก แต่พอกลับลงมาช่วงบ่ายกลับมีรถของนักท่องเที่ยวจอดมากมายแบบไม่เป็นระเบียบ เรียกว่าแทบจะกั๊กทางออกกันเลยทีเดียว ต้องใช้เวลาหาทางและส่งภาษากันเหงื่อตกพอสมควรกว่าจะเอารถออกมาจากลานจอดรถได้…
เมื่อออกจากโบราณสถานแห่งนี้ได้ ฉันวางแผนมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันตก เพื่อชมความงามทางธรรมชาติของประเทศจอร์เจียบ้าง ซึ่งจะขอกล่าวถึงในตอนต่อไป อนึ่ง เนื่องจากการเดินทางด้วยตัวเองของฉันในครั้งนี้ สิ่งที่ยากลำบากอย่างหนึ่งคือการสั่งอาหารมารับประทาน เนื่องจากร้านระหว่างทาง (ถ้าไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่) ส่วนใหญ่จะมีแต่เมนูที่เป็นภาษาท้องถิ่น และคนในร้านก็มักจะพูดภาษาอังกฤษได้เพียงน้อยนิดจนไม่สามารถอธิบายลักษณะอาหารได้ถ้าถามออกไป ในที่นี้จึงขอทะยอยอธิบายเมนูอาหารพื้นเมืองจอร์เจียที่พบได้แทบทุกที่เอาไว้ครั้งละเล็กๆ น้อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยตัวเอง…


Left: Mtsvadi (มตซวาดิ) คือ Shashlik (แชชลิก) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเคบับ เป็นเนื้อย่างเสียบไม้ อาหารทางแถบคอเคซัส ที่จอร์เจียมักเสริฟมาบนจากร้อนและรับประทานคู่กับหอมใหญ่และเครื่องเทศต่างๆ
Right: Khachapuri (คาชาปุรี) อาหารพื้นเมืองแบบจอร์เจียที่พบได้ทั่วไป ด้านนอกเป็นแผ่นแป้งขนมปังด้านในใส่ชีสและไข่ เวลารับประทานให้ฉีกขนมปังออกมาแล้วจิ้มลงไปในชีสตรงกลาง
