เชื่อว่าก่อนที่โควิดจะเข้าเล่นงานการเดินทางและการท่องเที่ยวทั่วโลกนั้น ประเทศจอร์เจียที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัส และอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลดำ ก้ำกึ่งระหว่างทวีปยุโรปและเอเชียน่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังมาแรง ฮิตติดอันดับสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เนื่องเพราะราคาค่าครองชีพที่ถูกกว่าและไม่ต้องใช้วีซ่าในการเดินทาง ในช่วงนั้นการเดินทางไปประเทศนี้อาจจะลำบากนิดหน่อยเพราะไม่มีสายการบินที่บินตรง แต่เพราะความนิยมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้สายการบินต้นทุนต่ำเริ่มที่จะมีแผนบินตรงจากกรุงเทพฯไปยังกรุง Tbilisi (ทบิลิซี) เมืองหลวงของประเทศจอร์เจียแล้ว แต่ก็มาติดโคขวิดเล่นงานกันจนหงายหลังไปหมดเสียก่อน การเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศนี้และประเทศต่างๆเลยหยุดชะงักแบบที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคืนกลับมาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี ฉันเชื่อว่าประเทศนี้จะกลับมาแรงอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น เราไปทำความรู้จักกับเมืองหลวงของประเทศเล็กๆ แห่งนี้กันเถอะ…


กรุง Tbilisi เป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ตรงรอยแยกของเทือกเขาและร่องรอยอารยธรรมโบราณ Kartli (คาร์ตลี) โดยมีแม่น้ำ Mtkwari (มตควารี) หรือ Kura (คูรา) ไหลผ่าน แม้ว่าใจปัจจุบันตัวเมืองจะขยายออกไปมากกว่าเดิมตามลักษณะของเมืองหลวงของทุกประเทศ แต่ที่เที่ยวหลักๆดูจะอยู่ในเขตเมืองเก่าซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ และมีโบราณสถานของป้อมปราการเก่าแก่ตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 4 ตั้งอยู่บนเขาเหมือนเป็นกำแพงสูงกั้นด้านหนึ่งของตัวเมืองเก่าเอาไว้ ตามสองข้างทางถนนแคบๆแบบโบราณที่คดเคี้ยวไปมาเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าๆ ที่มีระเบียงไม้ยื่นออกมา สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมต่างๆที่เคยเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนแถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิ์เปอร์เซีย ไบแซนไทด์ อาหรับ มองโกล เติร์ก ไปจนถึงรัสเซีย ในขณะที่เขตเมืองใหม่ก็เต็มไปด้วยความทันสมัย เป็นแหล่งแฮงค์เอ้าท์ของชาวเมืองที่มีร้านอาหารและร้านค้าหลากหลายสไตล์ให้เลือก แต่ไม่ว่าจะเลือกอยู่ในโรงแรมสมัยใหม่หรือโฮสเทลหรือห้องเช่าของชาวเมือง (ที่มักลงขายว่าเป็น hotel แต่จริงๆไม่ใช่ และเป็นที่นิยมมากเพราะราคาดี แต่อย่าหวังว่าเจ้าของจะพูดภาษาอังกฤษได้) จุดท่องเที่ยวหลักๆ สำหรับผู้ที่มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกคงหนีไม่พ้นบริเวณสองฝากฝั่งริมแม่น้ำที่ติดกับเขตเมืองเก่าใต้กำแพงของป้อมปราการเชื่อมโยงด้วยสะพานสันติภาพต่อไปยังเขตเมืองสมัยใหม่ตรงบริเวณ Rike Park (สวนสาธารณะไรค์) ซึ่งสามารถใช้เวลาทั้งวันเดินชมเมืองไปเรื่อยๆได้หากมีแรงพอและอยากเห็นซอกมุมเล็กๆระหว่างทางที่น่าสนใจไม่แพ้จุดท่องเที่ยวหลักๆ



ฉันเริ่มต้นจากการเดินออกจากที่พักในอีกฟากแม่น้ำของเมืองเก่าไปยัง Rike Park ซึ่งเป็นพื้นที่สวนจัดขนาดใหญ่ว่ากันว่าตัวสวนทำเป็นรูปร่างของประเทศจอร์เจียเองและทางเดินต่างๆเหมือนกับเส้นแบ่งเขตของภูมิภาคต่างๆของจอร์เจีย (หากมองจากด้านบนลงมา) มีสนามเด็กเล่น สวนดอกไม้ และบริเวณให้ทำกิจกรรมนันทนาการต่างๆ รวมถึงมีคอนเสิร์ตฮอลล์รูปทรงทันสมัยเหมือนเป็นท่องวงสองงวงต่อกันเป็นรูปตัววีสร้างจากเหล็กกล้าและกระจก งวงด้านหนึ่งยกสูงขึ้นเล็กน้อยใช้เป็นโรงละครแสดงดนตรี ส่วนอีกด้านหนึ่งมีบันไดเดินเข้าไปได้โดยตรงจากสวนซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ อาคารทันสมัยสุดโต่งอันนี้เพิ่งสร้างมาได้ไม่กี่ปีโดยสถาปนิกมือรางวัลชาวอิตาลีที่ออกแบบอาคารทันสมัยทั่วโลก Massimiliano และ Doriana Fuksas แห่ง Studio Fuksas งวงด้านศูนย์นิทรรศการจะหันไปทางสะพานสันติภาพ Bridge of Peace ที่เป็นสะพานคนเดินสร้างจากเหล็กและกระจก ด้านบนเป็นรูปทรงโค้งแบบคันธนู (สร้างใน ค.ศ. 2010) ยาว 150 เมตร ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Michele De Lucchi สะพานนี้เป็นจุดเช็คอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่จะเดินข้ามแม่น้ำ Mtkvari ไปยังเขตเมืองเก่าได้โดยในช่วงหัวค่ำจะมีการไลท์อัพเล่นแสงสีไฟ LED เป็นสีสันต่างๆ อย่างงดงาม




ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเลือกที่จะกลับมาเดินข้ามสะพานในช่วงเย็นเพื่อดูแสงสี โดยหันหน้าเดินไปสถานีขึ้นรถกระเช้า Cable Car ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักแทน กระเช้าพาข้ามแม่น้ำและเมืองเก่าเพื่อขึ้นไปยังแนวสันเขา Sololaki (โซโลลาคี) เพื่อเดินชมโบราณสถานบริเวณป้อมปราการ Narikala (นาริคาลา) ซึ่งสร้างขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปถึงคริสตศตวรรษที่ 4 เมื่อเปอร์เซียเข้าปกครอง แต่ร่องรอยที่เห็นส่วนใหญ่จะสร้างในสมัยคริสตศตวรรษที่ 8 โดยชาวอาหรับที่มีการสร้างปราสาทขึ้นภายในป้อมปราการแห่งนี้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นเมือง Tbilisi ทางด้านล่างได้อย่างสวยงาม มีร้านขายของที่ระลึกขายมากมาย มีร้านกาแฟให้นั่งชิลล์ๆริมหน้าผาชมเมืองได้อีก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นที่มีโครงสร้างเป็นไม้ปิดทับด้วยอลูมิเนียมขนาดใหญ่สูง 20 เมตรที่เรียกกันว่า Monument of Mother of Georgia (Kartlis Deda-Mother of Kartli) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1958 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 1,500 ปีของเมือง Tbilisi โดยทำเป็นรูปหญิงสาวในชุดพื้นเมืองของจอร์เจียตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผามองออกไปยังตัวเมืองหลวง มือซ้ายถือถ้วยไวน์เพื่อต้อนรับผู้คนที่มาเยือนเยี่ยงมิตร และมือขวาถือดาบสำหรับผู้คนที่เข้ามาเยี่ยงศัตรู ส่วนอีกด้านหนึ่งของแนวเทือกเขาจะเป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์แห่งจอร์เจีย National Botanical Garden of Georgia ซึ่งตรงนี้มี Zipline ให้เล่นลงไปด้วย แต่ฉันเลือกเดินตามทางเทรลคดเคี้ยวที่เลาะลงเขาด้านตัวเมืองผ่านไปยังโบสถ์ St. Nicolas (เซนต์นิโคลัส) โบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายออโธด็อกส์ตะวันออก ศาสนานิกายหลักของชาวจอร์เจีย ตัวอาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นรูปทรงไม้กางเขนสร้างขึ้นใหม่ช่วงปี ค.ศ. 1996-1997 ตรงบริเวณตัวโบสถ์เดิมตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 13 ที่ถูกไฟไหม้ไป ภายในโบสถ์มีภาพเขียนสีเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองและคริสตศาสนา ภายนอกยังสามารถพบเห็นซากหรือโบราณวัตถุของตัวโบสถ์เดิมวางอยู่ด้วย



เมื่อทางเทรลเชื่อมต่อมาที่ถนนสายแคบๆชันๆลงจากเขา (สำหรับคนที่อยากเดินขึ้นไปป้อมปราการโดยไม่นั่งกระเช้าก็จะเดินขึ้นทางนี้ได้) ก็จะมีร้านรวงสองข้างทางให้ได้แวะช้อปปิ้งได้ตลอด รวมไปถึงมุมสวยๆแปลกตากับตึกเก่าๆสองข้างทาง บางหลังทาสีพาสเทลสวยงาม พอลงมาถึงทางราบก็เลี้ยวต่อไปดู Sulphur Baths โรงอาบน้ำแร่กำมะถันโบราณที่บางแห่งยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบัน โดยจะมองเห็นเป็นโดมอิฐก่อกลมๆมีปล่องเป็นจุกๆ เพื่อให้แสงส่องลงไปถึงด้านในและเป็นช่องระบายไอน้ำจากน้ำแร่ เหตุที่มีโรงอาบน้ำตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า Abanotubani (อาบาโนทุบานี) แปลว่า “ย่านโรงอาบน้ำแร่” นี้เพราะเป็นจุดที่เจอน้ำแร่ผุดออกมาในลำธารบริเวณนั้น โดยมีกล่าวถึงในตำนานก่อตั้งเมืองว่าในช่วงปลายคริสศตวรรษที่ 5 กษัตริย์ Vakhtang Gorgasali (วาคตัง จอร์กาซาลี) ได้พาเหยี่ยวออกมาล่าสัตว์ และเหยี่ยวได้บินไปพยายามจับไก่ฟ้าในป่าแถบนี้และผลัดตกลงไปในน้ำแร่ที่ผุดขึ้นมาแถวบริเวณนี้ กษัตริย์เกิดความประทับใจในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งนี้เลยก่อตั้งเมือง Tbilisi ขึ้นที่นี่ (เดิมชื่อ Tiflis (ทิฟลิส) ซึ่งชื่อเมืองแปลว่า “สถานที่อันอบอุ่น” แม้ว่าโดมหัวจุกเหล่านี้จะตั้งเรียงรายอยู่รวมๆกัน แต่ถ้าอยากแวะดูประวัติศาสตร์ก็คงต้องลองไปเดินหา Royal Bath ที่ประตูมีสัญลักษณ์ของนกเหยี่ยวและไก่ฟ้าตามตำนานของเมืองประดับอยู่ แต่ถ้าจะดูที่ความสวยงามทันสมัยก็คงต้องแวะไปที่ Orbeliani Bath (โรงอาบน้ำออร์เบลิอานี) ที่เป็นอาคารสมัยใหม่ที่มีด้านหน้าตกแต่งอย่างสวยงามน่าเข้า (การอาบน้ำแร่ของจอร์เจียจะคล้ายๆของญี่ปุ่น คือเข้าไปแช่ในบ่อน้ำแร่ แยกหญิงชายสำหรับโรงอาบน้ำรวม หรือจะสามารถเช่าห้องเป็นส่วนตัวก็ได้ แต่จะมีความคล้ายกับโรงอาบน้ำของตุรกีตรงที่สามารถเรียกคนเข้าไปขัดตัวให้ได้)





จากตรงนี้ถ้ายังไม่เหนื่อยกันเสียก่อนก็สามารถลัดเลาะเขตเมืองเก่าผ่านร้านรวง และร้านอาหารในตึกเก่าๆให้แวะชิมอาหารพื้นเมืองหลากหลายสไตล์ได้ เย็นย่ำก็เดินไปชมไฟบนสะพานสันติภาพที่เปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆอย่างงดงาม สามารถมองไปยังเมืองเก่าและอาคารต่างๆที่มีการส่องไฟรวมถึงแสงสีของร้านรวงต่างๆได้บรรยากาศเป็นอย่างดี







อันที่จริงในตัวเมืองเก่า Tbilisi จะมีโบสถ์ที่สำคัญๆที่เป็นโบราณสถานอยู่ 3-4แห่ง แต่ถ้าอยากเห็นอะไรที่อลังการแปลกตายิ่งกว่า ฉันแนะนำให้ไปชม The Chronicles of Georgia (เดอะ โครนิเคิลส์ ออฟ จอร์เจีย) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาริมอ่างเก็บน้ำทบิลิซีห่างจากกลางเมืองออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร แม้ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างไม่เสร็จเสียที (สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985) แต่ความยิ่งใหญ่อลังการของเสาหินแกะสลักสีดำขนาดใหญ่สูง 30-35 เมตร ตั้งอยู่เป็นกลุ่ม 16 แท่ง พร้อมภาพแกะสลักเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับจอร์เจีย ไม่ว่าจะเป็นพระราชา พระราชินีหรืออัศวินต่างๆ รวมถึงชีวประวัติของพระเยซูขนาดใหญ่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี เนื่องจากที่นี่ไม่มีรถประจำทางไปถึง หรือถ้าไปถึงบริเวณใกล้ๆก็ต้องเดินขึ้นเขา ฉันจึงจ้างรถแท็กซี่ไปแทนโดยต่อรองให้รอรับกลับมาด้วยเลย ใช้เวลาออกจากตัวเมืองเก่าไปประมาณครึ่งชั่วโมง เดินชมอีกสักหนึ่งชั่วโมงหรือแล้วแต่ตกลง แล้วก็นั่งรถคันเดิมกลับมาในเขตเมืองเก่าหรือโรงแรมได้เลย



หากมาที่เมืองนี้ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ก็สามารถไปเดินเล่นที่ Tbilisi Street Market ที่มีการออกร้านรวงขายงานศิลป์และของทำมือต่างๆของชาวจอร์เจียรุ่นใหม่ บริเวณนี้จะอยู่ใกล้ๆกับอาคารรัฐสภากับพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Modern Art Museum โดยเขาจะเริ่มตั้งร้านประมาณสายๆของวัน เนื่องจากฉันเลือกที่จะเดินไปยังตลาดดังกล่าว แม้จะใช้เวลาพอสมควร แต่กลับกลายเป็นว่าฉันต้องติดอยู่กับตลาดขายของมือสอง (Flea Market) ริมถนนและในสวนสาธารณะระหว่างทางอยู่เป็นเวลานาน เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากผ่านตลาดมือสองได้ไม่นาน ก็ยังไปเจอกับปากคลองตลาดแห่ง Tbilisi อันเป็นตลาดแผงขายดอกไม้ล้วนๆ มีดอกไม้สวยๆแปลกตามากมายชวนให้หยุดถ่ายรูปได้ไม่รู้เบื่อเข้าอีก จากประสบการณ์การเดินเที่ยวเมืองมาสองวัน ฉันเชื่อเหลือเกินว่าถ้าเลือกที่จะใช้ขาเดินชมเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว ก็คงได้เจออะไรที่ฮิปๆแบบไม่คาดคิดได้ตลอดทางสมกับที่มีคนให้สมญานามเมืองหลวงแห่งนี้ว่าเป็นเมืองที่มีความเป็นโบฮีเมียนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกันเลยทีเดียว




