The Black Sea Nation of Georgia IV: Castles

ประเทศจอร์เจียในปัจจุบัน ตั้งอยู่บนดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป ในประวัติศาสตร์ดินแดนแถบนี้เป็นที่หมายปองของจักรวรรดิต่างๆ ทั้งจากสองฟากฝั่ง เพราะเป็นเส้นทางสำคัญในการขยายดินแดนระหว่างสองทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุคกลางที่มีการขยายอำนาจแย่งชิงดินแดนของหลากหลายเชื้อชาติ จึงไม่น่าแปลกใจว่าประเทศเล็กๆ อย่างจอร์เจียที่มีขนาดเพียงประมาณ 1 ใน 7 ของประเทศไทย (พื้นที่ประเทศจอร์เจียประมาณ 69,700 ตร.กม.) จะมีปราสาทและป้อมปราการที่ส่วนใหญ่สร้างกันในยุคกลางอยู่มากกว่า 100 แห่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะอาณาจักรต่างๆที่กระจายตัวอยู่ในดินแดนแถบนี้ ต่างก็พยายามหาทางที่จะป้องกันภัยในดินแดนของตัวเองจากการรุกรานจากคนภายนอกนั่นเอง ในตอนนี้ฉันจึงขอแวะไปชมปราสาทและป้อมปราการโบราณของประเทศนี้กัน (แม้ว่าจะได้กล่าวถึงไปบ้างแล้วในตอนก่อนๆเช่นในเมืองหลวง Tbilisi)

            จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ คือการเดินทางไปพักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ในตัวปราสาทเก่าที่เมือง Akhaltsikhe (อะคัลต์ซีเค) เมืองหลวงของแคว้น Samtskhe-Javakheti (ซัมซเค-จาวาเคตี) ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์เจีย ในขณะที่ฉันขับรถมาจากทางเมืองทางตะวันออกตามถนนหลวงที่เลาะมาตามแม่น้ำ Mtavari(มตควารี) เมื่อถนนเริ่มแยกห่างออกจากตัวแม่น้ำสายหลักยังไม่ทันจะได้เข้าเมืองดี ฉันก็มองเห็นตัวปราสาทขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขากลางเมือง Akhaltsikhe โดยไม่ต้องมองหา แต่การขับรถไปตามถนนเมื่อเข้าเมืองจนกว่าจะไปถึงตัวปราสาทได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อเดินทางมาถึงยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เพราะกูเกิ้ลเล่นพาไปด้านข้างตัวปราสาท ไปถึงที่หมายเจอแต่เนินเขาและกำแพงสูงใหญ่อยู่ด้านข้างแทน ตั้งใหม่ยังไงก็พากลับมาที่เดิม จนต้องใช้ความรู้สึกของตัวเองขับรถวนหาทางขึ้นตัวปราสาทเอาเอง เมื่อดั้นด้นขับรถตามถนนขึ้นเนินไปยังหน้าปราสาทได้ ก็พบว่าเขาให้จอดรถที่ด้านนอกของกำแพงเท่านั้น ผลก็คือกว่าจะได้ทำตัวเสวยสุขอยู่ในปราสาทแบบที่คาดหวังเอาไว้ได้ ก็ต้องลากกระเป๋ากันยาวๆขึ้นบันไดบ้าง ทางลาดบ้าง ผ่านร้านรวงและลานขนาดใหญ่ภายในตัวปราสาทชั้นนอก ขึ้นบันไดในตึกของโรงแรม (ไม่มีลิฟต์) ไปยังห้องพักจนทำเอาเหงื่อซึม ก่อนที่จะได้จิบไวน์ราคาได้ใจที่ระเบียงห้อง ชื่นชมหอคอยเก่าแก่ของปราสาทที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงไลท์อัพในบรรยากาศเย็นสบาย เหมือนได้เป็นเจ้าขุนมูลนายกับเขาสักคืน…

            Akhaltsikhe Castle (ปราสาทอะคัลต์ซีเค) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Rabati Castle (ปราสาทราบาติ) เป็นปราสาทที่มีอายุเก่าแก่ย้อนยุคไปถึงคริสตศตวรรษที่ 9 เมื่อพันกว่าปีก่อน โดยมีชื่อเรียกดั้งเดิมว่าปราสาท Lomisa (โลมีซา) แต่โครงสร้างส่วนใหญ่ที่เห็นสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และมีการบูรณะครั้งใหญ่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2011-2012 ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นป้อมปราการที่มีกำแพงสองชั้น โดยชั้นนอก ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแฮ้งค์เอ้าท์ อนุญาตให้มีโรงแรมมาตั้ง รวมถึงร้านอาหารและร้านรวงต่างๆ โดยผู้มาเยือนสามารถเข้ามาเดินเล่นในส่วนนี้ได้ฟรี มีหอคอยให้ขึ้นไปเดินชมวิวได้ มีสวนสวยงามที่ปลูกต้นไม้ให้เดินเล่น และอาคารสำนักงานต่างๆ ในส่วนของปราสาทชั้นในจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าไปชม โดยหลักๆจะได้เห็นมัสยิดที่มีโดมหลังคาสีทอง (อิทธิพลสมัยออตโตมันเข้ายึดครองในช่วงศตวรรษที่ 15-16) มีตัวอาคารที่เป็นป้อมและปราสาท พลับพลา มีสวนภายในที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง และปัจจุบันยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของมีค่า โบราณวัตถุ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ หากได้มาพักที่นี่ก็สามารถเดินชมปราสาทชั้นนอกและไต่หอคอยและกำแพงกันได้แต่เช้า จากเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของปราสาท สามารถมองเห็นตัวเมืองด้านล่างได้เกือบรอบทิศ และเนื่องจากปราสาทแห่งนี้ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ จึงดูมีความเป็นปราสาทมากกว่าแค่ซากปรักหักพังเหมือนที่อื่นๆ

            ห่างจาก Akhalsikhe ไปทางใต้ประมาณ 60 กม. มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งในแคว้นเดียวกันนี้คือถ้ำที่เป็นโบราณสถานอย่าง Vardzia Cave (ถ้ำวาร์ดเซีย) ที่นี่นอกจากจะเป็นปราสาทหรือวังของผู้สร้างและป้อมปราการแล้ว ยังเป็นทั้งศาสนสถาน โรงพยาบาลและโรงหมักไวน์ และที่อยู่อาศัยของชาวเมืองอีกด้วย ที่สำคัญสถานที่ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นมีลักษณะเป็นโถงถ้ำใหญ่น้อยที่เกิดจากการขุดเจาะและก่อสร้างของมนุษย์เอง เรียงกันไปเป็นชั้นๆ ตลอดแนวหน้าผาของภูเขา Erusheti (เอรูเชติ) ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Mtkvari (มตควารี) หรือ Kura (คูรา) ชุมชนถ้ำแห่งนี้มีความยาวประมาณ 500 เมตร ทุกโถงถ้ำเชื่อมต่อกันได้ด้วยอุโมงค์ บันได และระเบียงทางเดิน โดยแม้จะมีหลักฐานเก่าแก่ถึงยุคสัมฤทธิ์ แต่การขุดเจาะถ้ำและตั้งถิ่นฐานที่จริงๆจังๆและรุ่งเรืองที่สุดของนี่เริ่มมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 12 สิ่งก่อสร้างหลักๆ เช่นโบสถ์ สถานที่เก็บกักน้ำ ระบบส่งน้ำไปตามจุดต่างๆ ฯลฯ รวมไปถึงงานศิลปะอย่างจิตรกรรมฝาผนัง สร้างขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 12 ภายใต้การปกครองของผู้หญิงคนแรกที่ปกครองแคว้นในจอร์เจีย คือ Tamar, The Great (พระมหาราชินีทามาร์) (ค.ศ. 1184-1213) อันถือเป็นยุคทองของจอร์เจียอีกด้วย อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีบันทึกในพงศาวดาร “History of Georgia” ระบุว่าชุมชนนี้ได้รอดพ้นจากการรุกรานของมองโกล (ศตวรรษที่ 13-14) แต่ในที่สุดก็ได้ถูกทิ้งร้างไปในช่วงจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาเรืองอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งมีการค้นพบใหม่และขุดค้นทำการศึกษากันต่อมาในยุคที่โซเวียตเข้ามามีอำนาจ

            จากการขุดค้นจนปัจจุบัน พบว่าชุมชนถ้ำ Vardzia มีถ้ำทั้งหมดมากกว่า 600 ถ้ำ แบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกโดยมีโบสถ์สมัยพระมหาราชินี Tamar ที่ชื่อว่า Church of the Dormition (เชิร์ชออฟเดอะดอร์มิชั่น) อยู่ตรงกลาง โดยฝั่งตะวันตกจะประกอบไปด้วยหอระฆังและโบสถ์ ที่พักอาศัย 40 ครัวเรือน ซ้อนกันอยู่ 13 ชั้น โดยมีห้องรวมทั้งสิ้น 165 ห้อง มีโบสถ์เล็กๆแยกต่างหากอีก 6 แห่ง มีโรงอาหาร เบเกอรี่ (มีโต๊ะยาวสำหรับนั่งและการขุดพื้นเป็นหลุมสำหรับเป็นเตาอบขนมปัง) และโรงตีเหล็ก ในขณะที่ฝั่งตะวันออก จะแยกออกเป็นที่อยู่อาศัย 79 ครัวเรือน ซ้อนกันอยู่ 8 ชั้น มีห้องรวม 242 ห้อง โบสถ์ขนาดเล็กอีก 6 แห่ง ห้องของราชินี Tamar ห้องประชุม ห้องเก็บไวน์ (มีการค้นพบไหไวน์โบราณ 185 ไห) และโรงพยาบาล (กำแพงหินมีการเจาะเป็นช่องๆเล็กๆ ไว้เก็บขวดยาต่างๆและทิงเจอร์) โถงถ้ำต่างๆมีอุโมงค์เชื่อมต่อ มีทางน้ำ และสถานที่กักตุนอาหารสำหรับยามมีข้าศึก เหนือหอระฆังขึ้นไปยังมีต่ออีก 6 ชั้นเป็น 19 ชั้น และมีบันไดต่อไปยังสุสานด้านบนภูเขา

            ในส่วนของโบสถ์ Church of the Dormition นั้น ถือเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของที่นี่ โดยตัวถ้ำที่ถูกแกะสลักเข้าไปและมีการเสริมความแข็งแกร่งที่กำแพง มีขนาด 8.2 x 14.5 เมตรและสูง 9.2 เมตร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญในสมัยยุคกลางของจอร์เจียเลยทีเดียว หลังจากที่ถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา โบสถ์แห่งนี้ได้มีนักบวชเข้ามาประจำอยู่ในปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 1988 หลังการล่มสลายของยุคโซเวียต ในปัจจุบันถือเป็นศาสนสถานที่เป็นที่จาริกแสวงบุญของชาวคริสต์นิกายออโธด็อกส์ตะวันออกที่เป็นศาสนาหลักของชาวจอร์เจีย และในส่วนของตัวถ้ำทั้งหมดก็เพิ่งได้รับรางวัลการอนุรักษ์ดีเด่น European Heritage Award จากสหภาพยุโรปไปหมาดๆในปีนี้ (ค.ศ. 2021) เอง

            การเยี่ยมชมที่นี่ จะมีจุดที่ขับรถไปจนถึงทางเข้ามีที่จอดรถด้านล่าง ต้องซื้อตั๋วเข้าไป และเสียเงินค่ารถของทางโบราณสถานขึ้นไปด้านบน (หรือใครอยากเดินขึ้นเขาไปเองก็ได้) ทางเดินชมจะเป็นทางวนไปเรื่อยๆ มีขึ้นๆ ลงๆ แล้วแต่อยากเข้าไปชมถ้ำไหนบ้าง แต่ทางจะเป็นวันเวย์จนไปออกที่ปลายสุดอีกด้านหนึ่งของถ้ำ และต้องไต่บันไดถ้ำโบราณชันๆ ลงมาที่ด้านล่าง จึงจะมีทางเดินย้อนเลาะกลับไปที่ลานจอดรถอีกทีหนึ่ง หากไม่ใช้ไกด์ท้องถิ่น ก็จะมีให้เช่าหูฟัง เดินกดฟังไปตามจุดต่างๆตามหมายเลขได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเผื่อเวลาสำหรับเดินชมโบราณสถานแห่งนี้ไว้อย่างต่ำไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง และควรใส่รองเท้าที่เหมาะสม (ทางบันไดชันเป็นหิน บางส่วนก็ลื่น) หากเข้าไปในส่วนที่เป็นโบสถ์ ก็ต้องแต่งตัวให้สุภาพ ผู้หญิงก็ต้องคลุมผม และใส่เสื้อผ้าที่รัดกุม (หรือขอยืมผ้ามาพันเอว หากใส่สั้นเหนือเข่า) เนื่องจากตัวโบสถ์ในปัจจุบันได้มีนักบวชประจำและมีการประกอบศาสนพิธีเหมือนโบสถ์ทั่วไปแล้ว

            แต่หากต้องการจะดูภาพรวมทั้งหมดของชุมชนถ้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องไปจอดรถชมจากอีกฟากของแม่น้ำ ตรงจุดที่เรียกว่า Vardzia Cavetown Viewpoint (จุดชมวิววาร์ดเซียเคปทาวน์)ซึ่งปกติถ้าขับรถมา จะต้องขับผ่านจุดนี้ก่อน แล้วจึงค่อยเลยไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไปยังทางเข้าอีกทีหนึ่ง             หลังจากเที่ยวชมปราสาทในแคว้น Samtskhe-Javakheti ของจอร์เจียพอหอมปากหอมคอแล้ว ฉันขับรถย้อนกลับไปทางเมืองหลวง Tbilisi ก่อนจะขับขึ้นเหนือไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของจอร์เจีย เพื่อรับพลังจากยอดเขาหิมะแห่งเทือกเขาคอเคซัสที่สูงเป็นอันดับสามของจอร์เจียก่อนร่ำลากลับเมืองไทย

แนะนำอาหารจอร์เจีย

(ซ้าย) Tklapi (ทิคลาปี) แผ่นผลไม้กวนตากแห้ง ถ้ามีรสเปรี้ยวทำจากบ๊วยใช้สำหรับทำซุปหรือสตูว์ได้ หากมีรสหวานมักทำจากแอปริคอท พีช หรือองุ่น

(ขวา) Churchkhela (เชิร์ชเคล่า) ถั่วต่างๆ เคลือบด้วยน้ำผลไม้กวน (โดยมากเป็นองุ่น) ร้อยเชือกตากแห้ง ขนมยอดฮิตของจอร์เจียที่พบเห็นขายทั่วไปตามร้านรวงต่างๆ

Leave a comment