Sikkim 0

ประมาณว่า เรื่องที่เอามาลงตอนนี้ มันควรจะเป็นช่วงเวลาก่อนเรื่องใน Sikkim I น่ะ
เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออย่างไรดี ในเมื่อ 0 ควรจะมาก่อน 1 เลยใช้ชื่อนี้ซะเลย
 
เป็นอันว่า เดือนนี้มีเรื่องมาลงแล้วนะ

บางส่วนเสี้ยวของดินแดนแห่งขุนเขา…สิกขิม

ถนนสายแคบๆ ทอดตัวคดเคี้ยวซอกซอนไปตามลำธารและขุนเขาในยามเย็นย่ำก่อนตะวันลับขอบฟ้า พวกเราเพิ่งผ่านด่านตรวจใบอนุญาติเข้าแคว้นสิกขิม แคว้นเล็กๆทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ที่เมืองหน้าด่าน Rangpo ได้ไม่นาน ถนนยังคงลัดเลาะโตรกธารของแม่น้ำ Teestaหนึ่งในแม่น้ำสองสายหลักของสิกขิม ที่มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย บ้านเรือนที่สร้างลดหลั่นไปตามริมผา ริมแม่น้ำมีให้เห็นเป็นระยะๆ สลับกับท้องไร่ท้องนาแบบขั้นบันได ฟ้าเริ่มมืด ลำธารเขียวใสด้วยน้ำจากหิมะละลายบนเทือกเขาสูงเริ่มเลือนหายจากสายตา หมู่บ้านรายทางเห็นเพียงแค่เป็นแสงไฟดวงส้มๆ ประดับไปตามริมหน้าผาสูงชันอย่างสวยงาม ระยะทางเพียงร้อยกิโลกว่าๆ กับการนั่งรถจิ๊บลัดเลาะไปตามถนนเกือบ 4 ชั่วโมง เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีถึงความคดเคี้ยว คับแคบและสูงชันของเส้นทาง พวกเรามาถึง Gangtok เมืองหลวงของแคว้นสิกขิมเอาเมื่อค่ำ ร้านรวงบนถนนช็อปปิ้งสายหลักของเมืองเริ่มทะยอยกันปิดแล้ว ยังดีที่ร้านอาหารยังเปิดดึกขึ้นอีกนิดทันให้พวกเราฝากกระเพาะอันหิวกิ่วตลอดเส้นทางคดโค้งที่ผ่านมาได้…

แสงอาทิตย์ยามเช้าทาทาบเทือกเขาหิมะ จากยอดสีขาวให้ส่องประกายเป็นสีส้ม ทำให้เช้าวันใหม่เริ่มต้นอย่างกระปรี้กระเปร่า แทนที่จะอ้อยอิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาเนื่องจากอากาศอันหนาวเหน็บในเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ที่ความสูงกว่า 1,572 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้ เพราะพวกเราต้องรีบเร่งปีนขึ้นไปดาดฟ้าที่พักเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เห็น จากตึกรามบ้านช่องในบริเวณใกล้เคียง สนามกีฬาของเมือง มองผ่านหุบเขาเขียวชอุ่มเบื้องล่าง ลากยาวสูงขึ้นไปเป็นเทือกเขาทมึนในระดับที่สูงกว่าที่พวกเรายืนอยู่ และไกลออกไป…เทือกเขาหิมะที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยอันลือชื่อ มียอดเขา Khangchendzonga ที่สูงเป็นอันดับสามของโลก (8,598 เมตร) เป็นพี่ใหญ่โอบอุ้มดินแดนที่อยู่ภายใต้การพิทักษ์รักษาของเทพเจ้าแห่งนี้เอาไว้ แม้ว่าเทือกเขาหิมะที่เห็นจะสามารถมองเห็นได้จากแทบทุกแห่งทุกหนในแว่นแคว้นสิกขิม แต่ก็ใช่ว่าอากาศจะเป็นใจให้เห็นภาพอันตระการตานี้ได้ทุกวัน… ชานมร้อนๆแบบพื้นเมืองถูกยกมาวาง ผสมผสานกับเสียงนกในที่สูงแปลกหู ทั้งมีสีสันสวยสดแปลกตาคนพื้นราบอย่างพวกเรา ช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่นขึ้นไปอีกหลายขุม

หลังจากใช้เวลายามสายเดินขึ้นๆลงๆ สำรวจถนนในเมืองได้ไม่นาน พวกเราตัดสินใจเดินไปท่ารถจิ๊ป ประจำทางเพื่อขึ้นรถไปเยี่ยมชม Rumtek Monastery วัดนอกเมืองอันลือชื่อ รถจิ๊ปพาพวกเราวนผ่านเมืองขึ้นเหนือก่อนอ้อมกลับลงเขามาทางใต้ตามถนนสายหลักที่พวกเราผ่านมาเมื่อคืนได้สิบกว่ากิโล (ถนนในเมืองบางเวลาจะเดินรถทางเดียวเนื่องจากความแออัดของรถและความคับแคบของถนน) ก็เลี้ยวขวาเขาถนนกึ่งลูกรัง ลัดเลาะไปตามป่าเขา เนินสูง ทุ่งนาและหมู่บ้านอีกประมาณ 14 กิโลเมตร คนขับจอดให้พวกเราลงที่ประตูทางเดินขึ้นไปที่วัดก่อนตบคันเร่งวิ่งต่อไปยังหมู่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไปอีก พวกเราตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารตรงข้ามก่อนเที่ยงได้ไม่นาน ความสนุกสนานกับการลองสั่งอาหารในต่างแดนเริ่มขึ้นอีกครั้ง ทั้งโมโม่ เกี๊ยวนึ่งอาหารแบบสิกขิมและทิเบต ข้าวแกงแบบอินเดีย หมี่ผัดแบบกึ่งจีน ถูกยกมาให้ได้ชิมอย่างอิ่มหน่ำสำราญด้วยสนนราคาที่ถูกกว่าร้านอาหารริมทางของกรุงเทพฯ ก่อนที่พวกเราจะยกขบวนผ่านประตูทางเข้า ที่มีตำรวจอินเดียคอยจดชื่อเสียงเรียงนามของนักท่องเที่ยว เพื่อลงบันทึก เนื่องจากสิกขิมเป็นแคว้นชายแดนในความปกครองพิเศษที่ยังคงความอ่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกขนาบข้างด้วยประเทศมหาอำนาจอย่างจีน (ทิเบต) และประเทศเล็กๆที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันอย่างเนปาล และภูฏาน

วงล้อภาวนาที่มีตัวอักษรสีเหลืองบนพื้นสีแดงสด นำทางพวกเราขึ้นไปสู่ประตูทางเข้าสีแดงเลือดหมูที่ตั้งตระหง่านอยู่ มีเณรลามะนุ่งห่มจีวรสีแดงเข้มตามอย่างพระในศาสนาพุทธนิกายวชิรญาณ (พุทธแบบทิเบต) นั่งเล่นอยู่โดยรอบ หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมกันเรียบร้อย พร้อมผ่านการตรวจจากตำรวจรักษาการณ์ ตัวอาราม Rumtek ที่อยู่ด้านในก็ปรากฏให้เห็น ถัดจากลานกว้างที่ล้อมรอบด้วยกุฏิพระ ตัวเสาส่วนใหญ่ทาเป็นสีแดง สลับกับตัวสถาปัตยกรรมที่ทำจากไม้ส่วนอื่นๆ ที่มีสีสดใสอย่างสีเหลืองเป็นหลัก แม้ว่าจะเป็นตัวอาคารจะถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน อันเนื่องมาจากตัววัดเดิมถูกทำลายลงจากการเกิดแผ่นดินไหว แต่วัดแห่งนี้ ก็ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1740 ตัวอาคารว่ากันว่าสร้างเลียนแบบอาราม Tsurphu ในทิเบต ผนังด้านนอกอาคารมีภาพเขียนสีสดใสสวยงามเป็นลวดลายพระและเทวดาในปางต่างๆตามความเชื่อ ส่วนภายในตัวอาคารศาสนสถาน Rumtek จะเป็นเช่นเดียวกับวัดอื่นๆ ของวชิรญาณคือค่อนข้างมืด มีธรรมาสน์ พระบต พร้อมพระพุทธรูปต่างๆประดิษฐานอยู่ แน่นอนว่าไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปเช่นเดียวกับวัดอื่นๆทั่วไป อารามแห่งนี้ยังมีความสำคัญในฐานะที่เป็นวัดอย่างเป็นทางการของ Gyalwa Karmapa ผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาพุทธวชิรญาณ ในนิกาย Kakyu (นิกายหมวกดำ) นอกจากนี้ ยังมีบัลลังค์ที่นั่งขนาดใหญ่รอคอยการกลับมาของผู้นำองค์ที่ 17 ของนิกายที่ยังอยู่ในระหว่างการลี้ภัยจากทิเบตอีกด้วย ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางพระธรรมจักร มีสถาบันสอนศาสนาพุทธในระดับสูง และโรงเรียน รวมถึงสถูปหินสีปิดทอง ประดิษฐานพระอัฐิขององค์ Gyalwa Karmapa ที่ 16 ผู้ก่อสร้างอารามหลังใหม่แห่งนี้ เมื่อพวกเราเข้าไปชมทางตัวตึกด้านหลัง ซึ่งต้องรอให้พระเปิดประตูให้เข้าชมเป็นระยะๆ เนื่องจากมีการทำศาสนพิธีเป็นครั้งคราว จะพบรูปของผู้นำทางศาสนาองค์สำคัญ อย่างเช่นดาไลลามะ รวมถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่ องค์ Karmapa ประดับอยู่ บ้างก็ว่าที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของ “หมวกดำ” ของแท้ใบแรกสัญลักษณ์ของนิกาย ที่ทักทอขึ้นจากเส้นผมของเทวดาอีกด้วย หากแต่บรรจุอยู่ในกล่องอย่างเรียบร้อยมิดชิดอย่างที่บุคคลทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็น

พวกเราเดินหมุนวงล้อ กราบไหว้พระพุทธรูป ชื่นชมสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมตามนักจาริกแสวงบุญและนักท่องเที่ยวที่มาจากที่ต่างๆ อย่างสงบและเป็นสุข ก่อนกลับลงมาที่ถนนด้านล่างและเผชิญกับความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีรถให้ขึ้นกลับเข้าเมือง รถแท็กซี่ต่างๆ ที่จอดในบริเวณนั้นเป็นรถที่ถูกเหมาจองไว้หมดแล้ว ในที่สุดพวกเราตัดสินใจเดินกลับ อย่างน้อยก็ 14 กิโลเพื่อออกไปยังถนนใหญ่ซึ่งคงจะมีรถผ่านไปผ่านมามากมาย  แต่ความยากลำบากที่คิดว่าจะเจอ กลับกลายเป็นว่าพวกเรารู้สึกเข้าถึงดินแดนแห่งนี้มากขึ้น จากการเดินเท้าผ่านทุ่งดอกไม้ วัดริมทางเล็กๆ มุมสวยๆของหมู่บ้าน โรงเรียนที่มีเด็กๆ เพิ่งเลิกเรียนยิ้มแย้มต้อนรับ เดินตามและพยายามสื่อสารซึ่งกันและกัน การเดินเท้าของพวกเราเป็นไปได้ช้ากว่าที่คิด และหากคำนวณดูแล้ว ไม่มีทางที่จะออกไปถึงถนนใหญ่ก่อนมืดแน่ๆ แต่แล้วโชคก็เข้าข้าง เมื่อมีรถบรรทุกคันเขื่องผ่านมาให้พวกเราได้โบกขึ้นรถออกไปสู่ถนนใหญ่ และกลับสู่เมืองหลวงได้อีกครั้ง…

วันต่อมา พวกเราเลือกที่จะไปเยี่ยมชมทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์นอกเมือง ซึ่งเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ความสูง 3,780 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Gangtok ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายแดนสิกขิม-จีน เพียงแค่ 18 กิโลเมตร การไปเยี่ยมชมที่นี่จึงต้องขอใบอนุญาติพิเศษและจัดการโดยบริษัทนำเที่ยวที่ได้รับอนุญาติเท่านั้น เนื่องจากเป็นจุดควบคุมพิเศษ รถจิ๊ปของบริษัททัวร์ที่พวกเราติดต่อ พาพวกเราไต่ระดับไปตามถนนที่คดเคี้ยว ลัดเลาะไหล่เขาไปเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับเกือบสามพันเมตร เขาโดยรอบก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ระหว่างทางยังมีจุดแวะพัก มีร้านรวงขายของที่ระลึก รวมถึงหมวกไหมพรม ถุงมือกันหนาวสำหรับนักท่องเที่ยว ก่อนผ่านน้ำตก เขตอนุรักษ์ป่าแอลไพน์ ด่านตรวจ และในที่สุดก็ถึงจุดหมายที่เรียกว่า ทะเลสาป Tsomgo หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า Changu

ทะเลสาปนิ่งสงบ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะทางด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นถนนที่รถผ่านเข้ามาจอด รวมถึงร้านรวงขายของริมทาง แต่เบื้องหลังถนนสูงขึ้นไปก็ยังเป็นภูเขาสูงชันอีกเช่นกัน ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ความหนาวเย็น หิมะ ฝูงจามรี รวมถึงการหวนคิดถึงระดับความสูงที่พวกเรายืนอยู่ สร้างความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเมื่อได้รู้ว่า เส้นทางผ่านทะเลสาปแห่งนี้ เป็นที่ผ่านทางของกองคาราวานมาแต่โบราณ เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ก็คือช่องเขา Nachula ที่ผ่านไปยังที่ราบสูงของจีนได้ ก็ยิ่งสร้างมโนภาพขึ้นในใจต่างๆ ได้อีกมากมายถึงภาพในอดีต ความยากลำบากในการเดินทาง และอื่นๆอีกมากมาย… น้ำในทะเลสาปได้มาจากหิมะจากภูเขาโดยรอบที่ละลายลงมารวมกัน และไหลออกไปก่อเกิดเป็นลำธารให้กับดินแดนที่อยู่ต่ำลงไป ด้วยอุณหภูมิที่พวกเราสัมผัสได้ ณ ความสูงเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าในฤดูหนาวผิวน้ำของที่นี่จะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด… คนเลี้ยงจามรีจูงจามรีมาล้อมรอบนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา ให้ขี่ถ่ายรูป เดินรอบทะเลสาป หรือเดินขึ้นเขาด้านหนึ่งไปจุดชมวิวก็ได้ โดยทางการมีการควบคุมราคาเขียนเป็นประกาศแผ่นป้ายไว้ที่ริมทะเลสาปเลย อย่างไรก็ดี พวกเราเลือกที่จะเดินขึ้นเขาไปชมทะเลสาปจากด้านบน ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทางพวกเรายังมีโอกาสได้เห็นสีสันของดอกไม้ ที่พร้อมใจกันบานบนหญ้าสั้นๆบนเขา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆอย่าง Marmot อย่างใกล้ชิด ไกลออกไปด้านบน ปีกสีเขียวแมลงทับของไก่ฟ้า Himalayan Monal ตัวโตบินตัดผาให้เห็น… หันกลับมาที่ทะเลสาปอีกครั้ง เงาเมฆเริ่มบดบังแสงจากฟ้าใส ค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาครอบคลุมพื้นที่ จนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี… น้ำที่ว่ากันว่าลามะสมัยก่อนใช้สีน้ำของทะเลสาปแห่งนี้ทำนายอนาคตของดินแดนแถบนี้ หากว่าน้ำมีสีคล้ำแสดงว่าปีนั้น ดินแดนแห่งนี้จะตกอยู่ในความลำบากยากแค้น… เมฆที่เห็นหอบเอาหิมะและลูกเห็บตามมาด้วย สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเราที่มาจากประเทศในเขตร้อนเป็นอย่างยิ่ง…ก่อนที่พวกเราจะลาจากทะเลสาปแห่งนี้ไป

การได้มาเยือนบริเวณที่อยู่ในระดับความสูงเกินกว่า 3,500 เมตรแบบนี้ เป็นการทดสอบความพร้อมให้กับการเดินทางที่ตามมาของพวกเรา เพราะว่า พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่พวกเราตั้งใจกันว่า จะเริ่มต้นการเดินทางไปยังดินแดนอีกด้านหนึ่งของสิกขิม เพื่อเดินเท้าขึ้นไปชื่นชมความงามของเทือกเขาหิมาลัยให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น กว่าที่มองเห็นไกลๆจากในเมือง ขึ้นไปจนถึงบางตำแหน่งที่ว่ากันว่าเป็น “meeting place of man and mountain gods” พรุ่งนี้การเดินทางที่ว่า จะเริ่มต้นขึ้น…

DSC03584

               

Leave a comment