ฉันเดินทางมาถึงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมและเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรปแห่งนี้ แบบเหมือนเป็นทางผ่านไปสู่เมืองในฝันอย่างบรูจช์มากกว่าที่จะตั้งใจมาเยือนที่นี่โดยตรง อย่างไรก็ตาม เวลาเกือบสองวันเต็มๆยามเข้าและก่อนออกจากประเทศนี้ ที่ตอนแรกฉันคิดว่าคงเหลือเฟือสำหรับการแวะเที่ยวนครหลวงเล็กๆแห่งหนึ่งของยุโรปที่ใช้ภาษาเฟลมมิชและฝรั่งเศสเป็นหลักกลายเป็นเวลาเพียงน้อยนิดเหลือเกินในการที่จะเยี่ยมชมเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ ประวัติศาสตร์และความทันสมัยแห่งนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์
ฉันเริ่มต้นการเดินทางในนครหลวงแห่งนี้ที่สถานี Gare du Midi (Zuidstation) อันเป็นสถานีหลักที่รถไฟข้ามประเทศยูโรสตาร์ พาฉันลอดอุโมงค์จากประเทศอังกฤษ ผ่านฝรั่งเศสเข้ามาถึงที่นี่ หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแบบค่อนข้างเรียบง่ายที่สถานี ฉันก็พาตัวเองเดินลากกระเป๋าหาแผนที่ในสถานี เดินต่อไปซื้อตั๋ว ขึ้นรถรางที่เหมือนอยู่ใต้ดิน ไปโผล่ที่สถานีที่ใกล้ๆโรงแรมที่จองผ่านอินเตอร์เน็ตเอาไว้ เช็คอิน วางของ จากนั้นก็คว้ากล้องและเป้ใส่ของประจำตัว พาตัวเองไปนั่นรถรางใต้ดินอีกครั้ง เนื่องจากฉันมีเวลาขาเข้ามาในประเทศนี้หนึ่งวันก่อนเดินทางไปเมืองอื่น และอีกหนึ่งวันก่อนกลับออกจากประเทศนี้ ฉันจึงปวารณาตัวเองเที่ยวให้คุ้มที่สุด วันละเขตเมืองหลักๆเท่าที่จะเที่ยวได้เสียเลย ที่ฉันใช้ว่าวันละเขตเมือง เพราะบริเวณใจกลางของเมืองหลวงแห่งนี้ แบ่งเป็นสองส่วนหลักๆอันได้แก่เขตเมืองด้านล่าง (Lower Town) และเขตเมืองด้านบน (Upper Town) ซึ่งแบ่งแยกจากกันโดยมีแนวเนินเขาที่เป็นแนวยาวลงมาจากทางเหนือลงมาทางใต้เป็นเกณฑ์ ซึ่งในปัจจุบันมีถนน บ้านเรือนเชื่อมต่อกันอย่างแยกกันไม่ค่อยออก ฉันใช้บริการของรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่เรียกกันว่าเมโทร (Metro) และรถราง (Tram) ที่มีทั้งวิ่งใต้ดินและบนดินไปยังย่านสำคัญๆเป็นหลัก ก่อนใช้สองขาพาเดินชมส่วนต่างๆของเมืองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันเริ่มลุยส่วน Lower Town อันถือเป็นเขตเมืองเก่ามาแต่ดั้งเดิมที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าช่างอาชีพสาขาต่างๆที่พูดภาษาเฟลมมิชเป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต ด้วยการขึ้นรถรางไปที่สถานี Bourse (Beurs) จากนั้น ก็เดินตามฝูงชน (ที่คาดว่าเป็นนักท่องเที่ยว)โดยไม่จำเป็นต้องดูแผนที่ ไปยังลานจตุรัสขึ้นชื่อของเมืองที่เรียกว่า Grand Place (Grote Markt) แล้วก็ไม่ผิดหวัง ลานจตุรัสแห่งนี้เป็นลานที่มีพื้นปูด้วยหินแบบยุคกลาง ล้อมรอบด้วยตึกสูงใหญ่โตตระการตาผสมผสานศิลปะแบบโกธิค บาร็อคและเฟลมมิชเรอเนสซองส์ได้อย่างหรูหราละลานตา ไม่ว่าจะมองแบบผ่านๆ หรือมองเจาะลึกในรายละเอียด บริเวณเขตเมืองเก่านี้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางการค้าขายมาแต่อดีต ตึกและอาคารที่รายล้อมลานที่ใช้จัดเป็นตลาดนัดกลางแจ้งแห่งนี้มาหลายร้อยปี อวดโฉมแสดงความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในอดีตอย่างไม่ยอมแพ้กันและกัน เริ่มจาก Town Hall (Hôtel De Ville) ที่ตั้งตระหง่านทางด้านใต้ ตัวอาคารดั้งเดิมสร้างขึ้นในสมัยปลายคริสตศตวรรษที่ 14 แต่บางส่วนถูกทำลายลงจากการถล่มด้วยปืนใหญ่ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1695 พร้อมๆกับอาคารบ้านเรือนในบริเวณนี้แทบทั้งหมด แต่ชาวเมืองก็ช่วยกันบูรณะขึ้นใหม่โดยทันทีหลังจากนั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองอันโดดเด่นต่อไป ส่วนที่สูงที่สุดของตึกอันเป็นหอระฆังนั้นสูงถึง 96 เมตรมียอดแหลม เสาสูงโปร่งในขณะที่ตัวกำแพงมีรูปสลักหินประดับตกแต่งอย่างละเอียดและหนาแน่น ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ยังคงใช้เป็นที่ประชุมของเทศบาลเมืองและมีห้องจัดงานแต่งงานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ที่ผู้ที่เข้าไปจะยังมีโอกาสได้เห็นพรมทอเป็นเหมือนภาพวาดที่เรียกว่า Tapestry ของโบราณตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 15 อีกด้วย มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นอาคารโดดเด่นอีกหลังหนึ่งของ Maison du Roi (สร้าง ค.ศ. 1536 บูรณะใหม่ ค.ศ. 1873) ที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Musée de la Ville ที่จัดแสดงภาพเขียน พรม Tapestry และชุดเสื้อผ้าของพ่อหนูน้อย Manneken Pis ที่ฉันแนะนำให้รู้จักต่อไป ทางด้านอื่นๆของจตุรัสมีบ้านตึกเรียงกันเป็นแถวที่มีการตกแต่งหน้าจั่วและหลังคาอย่างหลากหลายตามแต่ความพอใจและกำลังทรัพย์ของเจ้าของผู้เป็นเหล่าพ่อค้าช่างอาชีพต่างๆในยุคนั้น ด้วยความละลานตาของตัวตึก ฉันจึงเลือกถ่ายภาพแบบว่า ชอบอันไหนถ่ายอันนั้นเอาแทน ถ้าจะขุดค้นไปในอดีต อาคารหลังหนึ่งที่ชื่อว่า Le Pigeon ยังเคยเป็นที่ลี้ภัยของนักเขียนฝรั่งเศสลือชื่อนาม Victor Hugo ด้วย
หลังจากถ่ายรูปตัวตึกและการตกแต่งอาคารจนเป็นที่พอใจ ฉันบอกกับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้งตอนเย็นย่ำยามที่เขามีเปิดไฟไลท์อัพตึกสวยเหล่านี้ ฉันเดินผละออกจากลานผ่านรูปปั้นของ Everard’t Serclaes ผู้ที่ตามตำนานแล้วเขาถูกลอบสังหารจากการปกป้องบรัสเซลส์ในคริสตศตวรรษที่ 14 ที่ไม่ว่าใครต่อใครเดินผ่านก็ต้องขอเข้าไปลูบแขนคุณคนนี้สักครั้ง จนตัวของพ่อหนุ่มคนนี้เป็นสีทองสัมฤทธิ์มันวาว ในขณะที่ส่วนอื่นหมองคล้ำตามกาลเวลาไปหมด เนื่องจากหนังสือท่องเที่ยวทุกเล่มต่างเขียนแนะนำเหมือนกันหมดว่า ได้ลูบแขนคุณอัศวินแล้วจะโชคดี ฉันจึงถือโอกาสเดินเบียดฝูงชนเข้าไปเพื่อให้ได้ลูบและรูปมาไว้เป็นที่ระลึกไปพร้อมๆกัน หลุดจากรูปปั้นมาได้ ฉันเดินต่อไปตามถนนเล็กๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของ ทั้งช็อคโกแล็ต และของที่ระลึกต่างๆ ผนังด้านนอกอาคารบางส่วนยังมีภาพของตินตินผจญภัย การ์ตูนที่โด่งดังไปทั่วโลก ของคุณ Hergé นักเขียนชาวเบลเยี่ยม แล้วกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างก็โชยมากระทบจมูก พาสองขาฉันเดินตรงไปหน้าร้านแห่งนั้นทันที ร้านขายวาฟเฟิลน่ารักๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มีวาฟเฟิลแบบต่างๆทั้งแบบธรรมดา หน้าช็อคโกแล็ต หน้าสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ วางเรียงรายให้ชี้นิ้วเลือกซื้อได้ มาถึงเบลเยี่ยมทั้งที ไม่ลองชิมวาฟเฟิลทำร้อนๆ ขนมลือชื่อของที่นี่ก็กระไรอยู่ ฉันเลือกหน้าสตรอเบอร์รี่ โรยไอซิ่งดูน่ารับประทานมาหนึ่งชิ้น แต่หาที่ยืนกินให้พอเหมาะพอเจาะอย่างยากเย็น เพราะร้านค้ารอบข้างแกเล่นเขียนป้ายไว้ว่า ห้ามยืนกินหน้าร้าน ฉันเลยตัดสินใจ เดินไปกินไปนี่แหละ…เอาพออิ่มท้อง เดินเที่ยวต่อได้อย่างสบายอารมณ์
เป้าหมายต่อไปของฉัน อยู่ไม่ไกลนัก มีป้ายบอกทางตามถนนได้โดยไม่น่าหลง พอดีกับที่รับประทานวาฟเฟิลหมด ฉันก็มาถึงที่พอดี รูปปั้นตัวกระจิ๋วของ Manneken Pis แต่ดังไปทั่วโลกและเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองแบบว่า มาถึงบรัสเซลส์แล้ว ไม่มาดูไม่ได้ แม้ว่าความสูงแค่หนึ่งไม้บรรทัดของเจ้าหนูยืนฉี่นี่จะไม่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เท่าไรนัก (อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งฉันว่าฉันคุ้นกับเจ้าเด็กฉี่นี่มาตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นอยู่ตามยอดน้ำพุประดับบ้านทั่วไปในเมืองไทย แม้จะเพิ่งมารู้ว่าต้นกำเนิดมาจากที่นี่นี่เองก็ตาม) แต่ตำนานและความเป็นเอกลักษณ์ของมัน ทำให้ทุกคนต้องมาหยุดยืนถ่ายรูปคู่ด้วย ไม่มีใครรู้แน่ว่าเจ้าเด็กฉี่นี่มีที่มาที่ไปจากที่ไหน แม้จะมีตำนานเรื่องเล่าที่หลากหลายเวอร์ชั่นสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้เจ้าหนูตัวน้อยนี้เป็นอย่างดี แต่ตามหลักฐานประวัติศาสตร์แล้วเจ้าหนูนี่มายืนปัสสาวะอยู่แถวนี้มาแล้วหลายร้อยปี อย่างน้อยก็ตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 17 มีหลักฐานว่าทางการได้ขอให้ศิลปินชื่อ Jérôme Duquesnoy สร้างเด็กน้อยทองสัมฤทธิ์นี้ขึ้นมาแทนของเดิม ซึ่งก่อนหน้านั้นน้ำพุในชื่อเดียวกันนี้ก็มีปรากฏในเอกสารมาก่อนหน้านั้นอีกสองร้อยปี อย่างไรก็ดี เจ้าหนูนี่เคยถูกพยายามขโมยและนำไปซ่อนหลายครั้ง โดยรูปปั้นที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน เป็นรูปที่ทำขึ้นเลียนแบบของจริงที่หายไปในปี ค.ศ. 1817 ยิ่งไปกว่านั้น บางโอกาสเจ้าหนูก็จะมีโอกาสได้สวมเครื่องแต่งกายตามเทศกาลต่างๆด้วย กล่าวกันว่ายามใดที่เจ้าหนูได้ของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากคณะที่เดินทางมาเยือนบรัสเซลส์อย่างเป็นทางการ เจ้าหนู Manneken Pis จะให้ของขวัญโดยปล่อยน้ำออกมาเป็นสายเบียร์ให้ผู้มาเยือนด้วย (มีการต่อสายน้ำพุเข้ากับถังเบียร์โดยตรง) ชุดเครื่องแต่งกายในปัจจุบันของเจ้าหนูมีมากกว่า 600 ชุดซึ่งจัดแสดงอยู่ใน Musée de la Ville ที่ได้กล่าวถึงแล้วข้างต้นนั่นเอง
ฉันเดินต่อมายังอีกด้านหนึ่งของถนน หลักการง่ายๆคือ ดูตามแผนที่และตามป้ายบอกทางที่ทางการเบลเยี่ยมทำไว้เป็นระยะๆตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆไปเรื่อยๆ ไม่ทันไร ฉันก็ไปโผล่ยังถนนเส้นหนึ่งที่มีรถราวิ่งขวักไขว่ บริเวณที่ฉันจะไปเยี่ยมชมนี้เรียกได้ว่าเป็น Shopping Arcade ที่แรกของยุโรป อาคารร้านค้าตึกแถวเรียงรายในรูปแบบนีโอเรอเนสซองส์โดยมีหลังคาโดมแก้วโปร่งแสงเป็นเอกลักษณ์ของ Galeries St-Hubert นี้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1847 โดยแบ่งออกเป็นสามบล็อก มีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร และร้านกาแฟหรูหราเปิดให้บริการ หลังจากเดินผ่านหลังคาโดมแก้วมาหนึ่งบล็อก วินโดว์ช็อปปิ้งพอหอมปากหอมคอ ฉันเดินเลี้ยวซ้ายเดินตรงต่อไปไม่ไกล หันไปทางซ้ายอีกที ถนนขึ้นชื่อที่เรียกได้ว่าเป็นกระเพาะของบรัสเซลส์พร้อมป้ายแสงสีแปลกๆ ก็ปรากฎอยู่ในสายตา ถนนคนเดินสายนี้มีชื่อว่า Rue des Bouchers มีชื่อเรื่องความหลากหลายของร้านอาหารนานาชนิดและการตกแต่งหน้าร้านโดยใช้อาหารทะเลสดใหม่เรียงรายอย่างแปลกตา ในขณะที่ในอดีตบริเวณนี้ก็เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่กล่าวกันว่าเป็นเขตค้าขายเก่าของเหล่าคนแล่เนื้อ (ที่มาของชื่อถนน) มาตั้งแต่ยุคกลาง อาคารในบริเวณนี้จึงถูกทางการประกาศห้ามไม่ให้ทำการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายทิ้ง และต้องทำการบูรณะให้คงสภาพเดิมไว้ตลอดไปด้วย… แน่นอนว่าไม่พลาด บ่ายแก่ๆฉันเลือกร้านที่พนักงานท่าทางอัธยาศัยดีออกมาชักชวน พูดสรรพคุณในภาษาอังกฤษปนภาษาเฟลมมิชที่ฉันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อดูสนนราคาที่เขียนป้ายอยู่หน้าร้านแล้วพอรับได้ ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปชิมอาหารเลิศรสและสัมผัสบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ภายในร้าน แบบไม่ยอมให้พลาดไฮไลท์หนึ่งของเมืองหลวงแห่งนี้ไปได้
ส่วนวันเที่ยวเขตเมืองด้านบน Upper Town ของฉันเริ่มต้นที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Parc (Park) ที่เมื่อเดินโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน ก็จะพบกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่มีรูปปั้น น้ำพุและต้นไม้ใหญ่ยืนเรียงราย ต้องเล่าย้อนกันนิดหนึ่งว่า เดิมเขตเมืองด้านบนนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของพวกชนชั้นสูง ขุนนางและเหล่าชนชั้นปกครอง ตั้งอยู่บนเนินที่เดิมเรียกกันว่า Coudenberg ซึ่งชื่อนี้ถูกนำมาเป็นชื่อเรียกพระราชวังเก่าของผู้ปกครองในยุคเรอเนสซองส์ในคริสตศตวรรษที่ 15 ก่อนถูกเผาทำลายไปในปี ค.ศ. 1731 อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น ก็มีปราสาท พระราชวังอีกหลายแห่งถูกสร้างขึ้นในบริเวณเมืองด้านบนแห่งนี้ และในปัจจุบันมีหลายแห่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการชมความหรูหราของปราสาท หรือตัวอาคารสมัยใหม่รูปทรงแปลกตา สถานที่ราชการสำคัญๆ รวมไปถึงอาคารของสหภาพยุโรป ควรต้องมาเดินเล่นทางด้านบริเวณนี้ของเมืองหลวง
อย่างไรก็ดี ฉันเริ่มเดินทะลุสวนสาธารณะ Parc de Bruxelles ขนาดใหญ่แห่งนี้ เพื่อไปขอถ่ายรูปหน้าพระบรมมหาราชวังที่เป็นที่ประทับของราชวงศ์เบลเยี่ยมในปัจจุบัน (เปิดให้เข้าชมเป็นบางช่วงของปีเท่านั้น) Palais Royal เก่าแก่เกือบสองร้อยปีแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านใต้ของสวน ถือเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในกรุงบรัสเซลส์ ตัวตึกดูเรียบง่ายแต่อลังการ สวนหน้าวังก็จัดตกแต่งเป็นระเบียบเรียบร้อย มีธงประจำชาติโบกสะบัดอยู่บนยอดหลังคา ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ให้รู้ว่าตัวองค์พระมหากษัตริย์ของเบลเยี่ยมท่านทรงประทับอยู่ในประเทศในขณะนั้น ฉันเดินอ้อมต่อไปยังด้านข้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของลานจตุรัสหน้าโบสถ์ทรงนีโอคลาสสิคสวยงาม ที่มีอนุสาวรีย์ของคุณ Godefroi of Bouillon ทหารกล้าของ Dukes of Brabant ผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ในอดีตที่เข้าร่วมต่อสู้ในสงครามครูเสดในอดีตเป็นจุดเด่น จากจุดนี้เดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะเจอตึกรูปทรงแปลกตาแบบที่เรียกว่า Art Nouveau อย่างตึก Old England ที่สร้างขึ้นเมื่อปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ซึ่งใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องดนตรีในปัจจุบัน หอสมุดแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ (ที่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำทั้งวันถ้าจะดูให้ทั่ว) และสถานที่สำคัญหลายต่อหลายแห่งอยู่บนเส้นทาง แล้วแต่ความสนใจของผู้มาเยือน แต่เนื่องจากเวลาอันจำกัด ฉันจึงทำได้แค่เดินผ่านชมหลายต่อหลายสถานที่ไปอย่างแสนเสียดาย เพื่อเอาเวลาไปเยี่ยมชมมหาวิหารสำคัญของเมืองหลวงแห่งนี้แทน
Cathédrale Sts Michel et Gudule คือมหาวิหารประจำชาติของเบลเยี่ยมหลังมหึมาสร้างในรูปแบบบราบรันโกธิคที่ฉันพูดถึง ความใหญ่โตของหอคอยคู่ด้านหน้าโบสถ์สร้างความตื่นตาตื่นใจตั้งแต่มองเห็นจากที่ไกลๆ แม้ว่าตัวโบสถ์ที่เห็นอลังการในปัจจุบันจะทำการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ประวัติศาสตร์ของสถานนี้แห่งนี้ก็สามารถสืบย้อนกลับไปถึงวันเริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1226 ผ่านการต่อเติมเสริมสร้างมาตามยุคสมัยตลอดเวลากว่า 300 ปีหลังจากนั้น ก่อนบางส่วนจะถูกทำลายไปในเวลาต่อมา เมื่อเดินเข้าไปภายใน มองขึ้นไปเหนือประตู สามารถเห็นกระจกสี (สเตนกลาส) เก่าแก่กว่าสี่ร้อยปี นอกจากนี้ยังมีแท่นธรรมาสน์ไม้แกะสลักอย่างละเอียดสวยงามเก่าแก่ และรูปปั้น รูปแกะสลักต่างๆตั้งเรียงราย นอกเหนือไปจากความอลังการของแท่นบูชาและความโอ่อ่าโอ่โถงภายตัวโบสถ์แล้ว ยังมีบันไดเดินลงไปด้านล่าง อันมีซากโบราณสถานของฐานโบสถ์เดิมที่เคยตั้งอยู่ ณ ที่นี้มากว่าพันปีที่แล้ว (ก่อนที่โบสถ์หลังนี้จะสร้างขึ้น)ให้ได้ศึกษาอีกด้วย
ฉันนั่งรถไฟใต้ดินกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เพื่อขึ้นรถไฟยูโรสตาร์ต่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป ร่ำลาเมืองหลวงแห่งนี้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อนถึงตัวรถไฟอีกครั้ง พรางนึกในใจว่าฉันน่าจะเผื่อเวลาเที่ยวที่นี่ให้มากกว่านี้อีก เพื่อที่จะได้ไปเยือนอีกหลายๆสถานที่ที่ฉันพลาดไปอย่างน่าเสียดาย…