พื้นที่ใจกลางเกาะอันกว้างใหญ่ของฮอกไกโด เกาะขนาดใหญ่ที่สุดทางเหนือของญี่ปุ่นนั้น มีลักษณะเป็นท้องทุ่งและที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ภายใต้เงาร่มของแนวเทือกเขาไดเซ็ทซึ โดยมีเมืองทั้งใหญ่และเล็กรายล้อมอยู่รอบๆแนวเทือกเขา ชาวบ้านมีอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิต่อเนื่องถึงฤดูร้อน ในช่วงที่หิมะที่ปกคลุมแทบทั้งเกาะละลายหายไปเกือบหมด ทุ่งอันกว้างใหญ่ที่มีพรรณพืชต่างๆมากมาย ก็ร่วมใจพากันผลิดอกออกผล ภาพของทุ่งดอกไม้ต่างๆจึงหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันให้ได้ชมตลอดช่วงฤดูกาล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดอกไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดอันเป็นเหตุผลดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากมายมาเยี่ยมเยือนเกาะฮอกไกโดตอนกลางแห่งนี้ คงหนีไม่พ้นทุ่งดอกลาเวนเดอร์อันกว้างใหญ่ ที่ชาวฮอกไกโดเจ้าของพื้นที่ได้พัฒนาพื้นที่เกษตรให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ พ่วงท้ายมาด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมายที่ผลิตขึ้นจากพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้
ฟุราโนะ (Furano) เมืองที่ตั้งห่างไปทางทิศตะวันออกของซัปโปโรประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร เป็นแหล่งทุ่งดอกลาเวนเดอร์อันลือชื่อ หากเดินทางมาถึงบริเวณนี้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ตลอดจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นช่วงหน้าร้อนที่มีอากาศเย็นสบายของพื้นที่ทางตอนเหนือ ก็จะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมและสีสันของดอกลาเวนเดอร์กันอย่างเต็มที่ ว่ากันว่าต้นลาเวนเดอร์นี้เดิมเป็นพืชดอกล้มลุกที่พบได้อยู่ตามทุ่งหญ้าตามป่าเขา ต่อมาได้มีบริษัทผลิตน้ำมันหอมจากดอกไม้ได้มาทดลองปลูกต้นลาเวนเดอร์ในบริเวณนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเกือบร้อยปีก่อนและได้ผลดี เกษตรกรในแถบนี้ได้ทำการปลูกลาเวนเดอร์กันอย่างแพร่หลายตามบริเวณต่างๆที่เหมาะสม เพื่อป้อนให้กับโรงงานผลิตน้ำมันหอมสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเรื่องสำอางค์ที่ตั้งขึ้นในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ดีเมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าและโลกมีการพัฒนามากขึ้น การผลิตกลิ่นสังเคราะห์และการนำเข้าที่ง่ายดาย ทำให้ราคาน้ำมันหอมจากลาเวนเดอร์ของแท้นี้ราคาตกต่ำลงและโรงงานต้องเลิกกิจการไป พาเอาเกษตรกรย่ำแย่ตามไปด้วย จนต้องหันไปปลูกพืชชนิดอื่นๆกันเกือบหมด อย่างไรก็ดี ยังเหลือเกษตรกรที่ยังคงทนปลูกต้นลาเวนเดอร์นี้อยู่ไม่กี่เจ้า และแล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป ในปี ค.ศ. 1975 ภาพของทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงสดอันสวยงามจากฟาร์มแห่งหนึ่งได้ถูกถ่ายทอดลงบนปฏิทินของการรถไฟภูมิภาคของญี่ปุ่น ทำให้มีผู้คนสนใจอยากมาเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์แห่งนั้น และนับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้การปลูกลาเวนเดอร์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของฮอกไกโด จากที่เป็นพืชที่ปลูกเพื่อการเกษตรฯ ป้อนโรงงาน กลับกลายมาเป็นปลูกเพื่อการท่องเที่ยว จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของดินแดนแถบนี้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
ฉันได้แวะเที่ยวชมฟาร์มอันลือชื่อที่ใครๆก็พลาดไม่ได้ หากมาเยือนถึงดินแดนแถบนี้แล้ว นั่นคือโทมิตะฟาร์ม ว่ากันว่าภาพในปฏิทินที่ทำให้ทุ่งลาเวนเดอร์แห่งฮอกไกโดโด่งดังเป็นครั้งแรก ก็ถูกบันทึกไว้ที่ฟาร์มแห่งนี้ นอกจากดอกลาเวนเดอร์สีม่วงอันงดงามแล้ว ฟาร์มแห่งนี้ยังปลูกดอกไม้อื่นๆอีกมากมายมากกว่า 150 ชนิด ทั้งดอกป๊อปปี้ คอสมอส ทานตะวัน ยิปโซฟิลา ฯลฯ สร้างสีสันสดใสหลากหลายให้กับพื้นที่ ขึ้นอยู่กับว่ามาเจอกันช่วงไหน ดอกอะไรบานกันเต็มที่พอดี โทมิตะฟาร์มแห่งนี้มีขนาดกว้างขวางและมีดอกไม้หลายทุ่ง จนได้ชื่อว่าฟาร์มที่มีกลิ่นไอของแคว้นฝรั่งเศสตอนใต้ นอกจากนี้ยังมีทาวเวอร์ให้ขึ้นชมทุ่งดอกไม้จากที่สูง มีโรงงานผลิตหัวน้ำหอม การทำดอกไม้แห้งสาธิตให้ชม มีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก และกิจการของที่นี่ยังเจริญก้าวหน้ามีการผลิตสินค้าต่างๆที่หลักๆแล้วทำมาจากดอกลาเวนเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นหัวน้ำหอม เครื่องหอมต่างๆ ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาผิว เครื่องสำอางค์ ตลอดจนของกินรสชาติลาเวนเดอร์ต่างๆ ทั้งน้ำดื่ม ไอศครีม ขนมและของที่ระลึกอื่นๆอีกมากมาย
ระหว่างถนนสายเล็กที่ที่วิ่งผ่านตำบลหนึ่งไปยังอีกตำบลหนึ่ง ยังมีทุ่งดอกไม้อีกหลายต่อหลายทุ่งที่เจ้าของตั้งใจปลูกเพื่อสร้างให้มีสีสันสวยสดงดงาม ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปถ่ายรูปชมความงาม ส่วนใหญ่มักจะเข้าฟรีหรือเก็บเงินค่าเข้าเล็กน้อย แต่เจ้าของมุ่งหวังรายได้จากการขายของหรือบริการต่างๆที่เกิดจากการแวะชมของนักท่องเที่ยวมากกว่า เช่นที่คันโนะฟาร์มหรือ เซรุบุโนะโอกะ เป็นต้น เหตุนี้นี่เองที่ทำให้เมืองฟุราโนะในช่วงฤดูร้อนเต็มไปด้วยสีสันของพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย ออกดอกชู่ช่อแข่งขันกันเองในช่วงเวลาอันแสนสบายแดดจ้าฟ้าใสของเกาะฮอกไกโด หากเบื่อทุ่งดอกไม้ก็แวะเข้าไปชิมไวน์ที่พิพิธภัณฑ์ไวน์ หรือแวะชมโรงงานทำน้ำองุ่น หรือหาซื้อชีสและผลิตภัณฑ์จากชีสได้จากโรงงานทำชีสที่ตั้งอยู่ในเมืองฟุราโนะเช่นกัน หรือจะนั่งรถไฟ Norokko รถไฟสายพิเศษที่มีบริการให้เฉพาะช่วงหน้าร้อนเพื่อเที่ยวชมทุ่งดอกไม้ในบริเวณนี้ก็สามารถทำได้ โดยตัวรถไฟออกแบบเป็นพิเศษให้นั่งหันหน้าออกไปยังท้องทุ่งทั้งสองข้าง และยังมีตู้เสบียงที่แต่งได้อย่างน่ารักผิดแผกจากรถไฟทั่วๆไปอีกด้วย
ฉันขับรถมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองบิเออิ (Biei) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก พูดตามความจริง เมืองนี้ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากเนินสูงๆต่ำๆที่กลายเป็นท้องทุ่งเกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ แต่ฉันชอบตรงที่เขาเข้าใจเอาจุดเล็กๆน้อยๆมาล่อใจให้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวสุดฮิบอีกหนึ่งที่จนได้ เริ่มจากสภาพการปลูกพืชเกษตรกรรมเป็นแปลงๆ กลายมาเป็น Patchwork Road ทางฝากหนึ่งและภาพมุมกว้างที่มองผ่านทุ่งนาแปลงพืชผักต่างๆกลายมาเป็น Panorama Road ทางอีกฝากหนึ่งของถนนสายหลักที่ตัดผ่านเมือง ให้นักท่องเที่ยวได้ขี่จักรยานหรือขับรถเที่ยวเลี้ยวเลาะไปตามถนนสายเล็กๆที่คดเคี้ยวไปมา เพื่อชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามมองเห็นได้กว้างไกล กับแปลงพืชที่บางครั้งพร้อมใจกันออกดอกให้สีสันสดใส เช่นสีเหลืองของต้นเรฟ (ที่เอามาสกัดเป็นน้ำมันคาโนล่า) ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม หรือดอกขาวๆของต้นมันฝรั่งในช่วงเดือนมิถุนายน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจับจุดเล็กจุดน้อยมาตั้งชื่อให้เป็นที่โด่งดัง ใครผ่านไปมาก็ต้องมาตามหาเพื่อถ่ายรูป เช่นเนินไมล์เซเว่น เนินเขาที่บุหรี่ไมล์เซเว่นเคยมาถ่ายทำโฆษณาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 นู่น หรือต้นไม้เคนและแมรี่ ซึ่งจริงแล้วก็คือต้นป๊อปล่า ไม้ยืนต้นตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนกลางแปลงพืชไร่ แต่ได้ชื่อนี้เนื่องจากเคยเป็นที่ถ่ายทำโฆษณารถนิชสันสกายไลน์ที่มีตัวละครเอกเป็นคุณเคนกับแม่รี่มาก่อนเมื่อปี ค.ศ. 1972 หรือต้นไม้สามต้นเรียงกันโดยมีต้นเล็กอยู่ตรงกลาง ก็ตั้งชื่อว่าต้นไม้ครอบครัว และก็มีต้นเซเว่นสตาร์ที่เคยมีรูปลงอยู่ที่ห่อบุหรี่ยี่ห้อเซเว่นสตาร์เป็นต้น เท่านี้เอง ใครๆที่มาถึงที่นี่ ต่างก็ต้องวนหาตำแหน่งเหล่านี้เพื่อถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก อย่างไรก็ดี หากวิวทิวทัศน์ไม่สวยจริงเขาก็คงไม่ใช้เป็นที่ถ่ายทำโฆษณาตั้งหลายเรื่องเช่นนี้ นอกจากนี้ บางบริเวณเขาจะจัดทำเป็นที่พักชมวิว มีร้านขายของ ห้องน้ำอำนวยความสะดวก แถมปลูกดอกไม้สีสันสดใสบริเวณใกล้เคียงเพื่อเพิ่มมูลค่าทางสายตา จากจุดพักเหล่านี้สามารถชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามาได้อย่างสวยงาม ฉันว่าทางญี่ปุ่นเขาเข้าใจที่จะโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวของเขาให้เป็นที่น่าสนใจได้อย่างแยบคายจริงๆ
ฉันขับรถผ่านเมืองอาซาฮีกาว่า (Asahikawa) เมืองใหญ่อันดับสองของฮอกไกโดที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก โดยเพียงแค่แวะผ่านไปกินราเม็งหลายหลายสไตล์ตามแต่ใจชอบที่หมู่บ้านราเม็งเท่านั้น แต่กว่าจะหาทางไปถึงก็เล่นเอาหิวโซ เนื่องจาก GPS เจ้ากรรมบนรถที่เช่ามาก็เก่าเหลือหลายไม่มีบันทึกข้อมูลไว้ เมื่อใส่เบอร์โทรศัพท์ลงไปก็พาไปโผล่อยู่ที่บ้านใครก็ไม่ทราบ สุดท้ายต้องลงถามทางกับคนท้องถิ่นที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายให้นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราเข้าใจให้ได้ว่าไปทางไหนกันแน่ บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่าอย่าเชื่อในเทคโนโลยีมากเกินไปและหัดพูดภาษาญี่ปุ่นให้เป็นก่อนที่จะมาเที่ยวบ้านนอก!…ความจริงที่เมืองอาซาฮีกาว่านี้มีสถานที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งก็คือสวนสัตว์ฮาซาฮียาม่า ซึ่งรวบรวมสัตว์ไว้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตหนาว เช่นหมีขั้วโลก นกเพนกวิน ฯลฯ แถมจัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ แต่อย่างว่าเนื่องจากเป็นสัตว์เมืองหนาว ฉันเลยอยากเห็นพวกมันอยู่ท่ามกลางหิมะในฤดูหนาวมากกว่า การมาถึงในฤดูร้อนของฉันในคราวนี้ เลยจำใจผ่านเลยไป คราวนี้ ฉันตั้งใจพาตัวเองขึ้นเขาไปดูดอกไม้ป่ากันบ้าง
อุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ไดเซ็ทซึซังคือจุดหมายที่ต่อไปของฉัน ที่นี่มียอดเขาอาซาฮีดาเกะ (Asahidake) ที่สูงที่สุดในฮอกไกโดตั้งตระหง่านอยู่ที่ความสูง 2,291 เมตร ความกว้างใหญ่และความสวยงามของดอกไม้ป่ายามเข้าฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงหน้าร้อนของที่นี่ ได้รับการกล่าวขวัญถึงมาตั้งแต่โบราณในสมัยที่ชนพื้นเมืองชาวไอนุยังใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณนี้ว่า “Kamuimintara” ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเป็น “ลานรื่นเริงของเหล่าเทพเจ้า” ซึ่งความงดงามนี้คนธรรมดาจะเข้าถึงและสัมผัสได้ก็แต่ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมเท่านั้น (เนื่องจากช่วงอื่นจะมีแต่หิมะปกคลุมและอากาศหนาวเย็น) หลังจากขับรถลัดเลาะไปตามแนวหุบเขาถึงเมืองน้ำแร่ตีนเขา (อาซาฮีดาเกะออนเซน) เราต้องต่อกระเช้าโรปเวย์ขึ้นไปที่สถานีด้านบนซึ่งสูง 1,600 เมตร (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯมาแนะนำข้อควรระวังต่างๆในการใช้สถานที่ ก่อนที่จะปล่อยให้เดินไปตามเส้นทางที่นำไปถึงยอดเขาได้โดยมีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร (ขาเดียว) อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ไม่สันทัดในการเดินขึ้นยอดชันๆ ก็สามารถเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติบริเวณที่ราบสูงอาซาฮีไดระแห่งนี้ได้ ซึ่งมีระยะทางเป็นวงไม่ไกลนัก และมีจุดให้พักชมวิวเป็นระยะๆ พืชพรรณบนที่สูงแห่งนี้ จะเป็นไม้พุ่มเตี้ยหรือทุ่งหญ้าแบบอัลไพน์ ถ้ามาถูกช่วงก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้เห็น ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งเต็มทุ่ง โดยมีฉากหลังเป็นยอดเขาสูง มีหิมะที่หลงเหลือจากการละลายเป็นช่วงๆ พร้อมๆกับควันจากภูเขาไฟที่ยังไม่ดับนี้พวยพุ่งออกมาเป็นระยะๆ ยิ่งไปกว่านั้น หิมะที่ละลายแล้วได้ก่อให้เกิดสระน้ำหรือบ่อน้ำใสแจ๋วสะท้อนภาพภูเขาอย่างงดงาม สำหรับผู้ที่อยากเดินขึ้นยอดก็เดินกันไป อย่าให้แพ้ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวญี่ปุ่นที่เดินกันลิ่วเหมือนเดินช็อปปิ้งในห้างก็แล้วกัน (บริเวณทางขึ้นยอดจะเป็นหินและค่อนข้างชัน ไม่มีพรรณไม้ใดๆ อยู่เนื่องจากยังมีการครุกรุ่นของภูเขาไฟเป็นระยะๆ) แต่เมื่อพิจารณาถึงสังขารของตัวเองแล้ว ฉันขอเลือกเดินวนตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติท่ามกลางฟ้าใส อากาศดี ชื่นชมทุ่งดอกไม้และบ่อน้ำใสกับแนวหิมะที่หลงเหลืออยู่ดีกว่า (ข้อควรระวังก็คือแม้จะอยู่กลางฤดูร้อนและแดดแรงจ้า แต่อากาศบนยอดเขาก็ยังหนาวเย็นสำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราๆอยู่ดี จึงควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มให้เรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลามีลมพัดและเมฆบดบังแสงแดดเป็นช่วงๆ)
แต่ถึงแม้จะหนาวเย็นอย่างไร หรือเหน็ดเหนื่อยจากการเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติขนาดไหน เมื่อกลับลงจากเขา ฉันรู้ดีว่าน้ำแร่ร้อนๆใกล้แหล่งภูเขาไฟธรรมชาติที่อยู่ตามรีสอร์ทที่พักด้านล่างย่อมช่วยให้ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยได้กลับมากระปรี้กระเปร่าแถมยังได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นแน่ (ที่สำคัญ อย่าลืมทำตัวปฏิบัติตามธรรมเนียมการอาบน้ำแร่ของชาวญี่ปุ่นก็แล้วกัน คนไทยผู้ขี้อายทั้งหลาย)