
Shiretoko (ชิเรโตโกะ) เป็นชื่อของคาบสมุทรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสุดของเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ที่ยื่นออกไปสู่ทะเล Okhotsk (โอค็อตสค์) มหาสมุทรแปซิฟิค ณ ปลายคาบสมุทรแห่งนี้เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ Shiretoko ซึ่งถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความน่าสนใจและอยู่ห่างไกลมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากที่นี่ไม่ได้มีถนนให้เข้าถึงได้ทุกจุด ต้องอาศัยการเดินเท้าชมความงามหรือล่องเรืออ้อมรอบๆเท่านั้น พื้นที่อุทยานครอบคลุมส่วนที่เป็นพื้นดินบนคาบสมุทรประมาณ 390 ตารางกิโลเมตร และส่วนที่เป็นทะเลประมาณ 220 ตารางกิโลเมตร พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบก 36 ชนิด (ที่เด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นหมีสีน้ำตาลที่กล่าวได้ว่าที่นี่มีประชากรหมีหนาแน่นที่สุดในญี่ปุ่น) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลอีกอย่างน้อย 22 ชนิด (ทำให้มีกิจกรรมล่องเรือชมวาฬและโลมาเป็นไฮท์ไลท์สำคัญอย่างหนึ่งของบริเวณนี้) และนกอีกไม่ต่ำกว่า 285 ชนิด (มีกิจกรรมการล่องเรือตัดน้ำแข็งชมนกอินทรีย์สเตลเล่อร์ (Steller’s Sea Eagle) ที่อพยพมาหากินบริเวณนี้ในหน้าหนาว และเป็นที่อาศัยของนกเค้า Blakiston’s Fish Owl ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) ตอนกลางของอุทยานฯเป็นเทือกเขาสูงประมาณ 1,200-1,600 กว่าเมตรเรียงรายต่อๆกัน (ยอดที่สูงที่สุดคือยอดเขา Rausu (ระอุสึ) สูง 1,661 เมตร) ก่อกำเนิดแม่น้ำต่างๆที่ไหลผ่านป่าเขตอบอุ่นและป่าผสมกึ่งอัลไพน์รวมๆแล้วถึง 77 สาย สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้พื้นที่แห่งนี้จนได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005



อุทยานแห่งชาติ Shiretoko แห่งนี้ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดปี (โดยแต่ละช่วงก็เข้าถึงได้เพียงบางพื้นที่) แต่ในที่นี้ฉันขอแนะนำอุทยานฯในช่วงที่เขียวที่สุดของปี เมื่อน้ำแข็งบางส่วนได้ละลายไปบ้างแล้ว แม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาวก็ได้ละลายลงแล้ว และพืชพรรณได้มีโอกาสผลิใบหนาตาจนภูเขาและป่าไม้กลายเป็นสีเขียว นั่นก็คือช่วงต้นฤดูร้อน (ประมาณเดือนมิถุนายน) นั่นเอง ช่วงนี้การเข้าถึงพื้นที่ที่ถนนตัดถึงทำได้ค่อนข้างง่าย ไม่ต้องกลัวรถลื่นไถลไปตามหิมะ การเดินเทรลบางส่วนก็เดินได้สะดวกสบายไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มากมาย อีกทั้งมีอากาศเย็นสบาย (หากอยู่ในป่าหรือในที่ที่มีลมก็เรียกว่าหนาวพอสมควร) และที่สำคัญเป็นช่วงที่หมีสีน้ำตาลออกจากการจำศีลในช่วงฤดูหนาว มาเดินหากินแล้ว (โอกาสที่จะเจอก็เป็นไปได้สูง) แถมยังมีโอกาสได้เห็นดอกไม้ป่าต่างๆผลิบานรับแดดอีกด้วย
ตัวอุทยานฯ มีถนนเลาะคาบสมุทรทางชายฝั่งทางทิศตะวันตก โดยมีเมือง Utoro (อุโตโระ) เป็นเมืองหลักก่อนเข้าสู่เขตอุทยานฯ มีถนน Shiretoko Pass ตัดผ่านคาบสมุทรที่ความสูง 700 กว่าเมตรจากเมือง Utoro มายังเมือง Rausu เมืองหลักทางชายฝั่งทางทิศตะวันออก จากที่นี่มีถนนสาย 87 เลาะริมฝั่งทะเลทางด้านตะวันออกที่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานฯ ไปทางปลายคาบสมุทรและสิ้นสุดที่แม่น้ำ Aidomari (ไอโดมาริ)…



ฉันเริ่มที่เมือง Utoro ด้วยการนั่งเรือ Brown Bear Cruise ชมความสวยงามของคาบสมุทรและอุทยานแห่งชาติจากทางทะเลก่อน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการได้เจอหมีสีน้ำตาลตัวเป็นๆเดินเล่นหาปลาอยู่ริมฝั่งทะเล เรือจะลัดเลาะไปตามคาบสมุทร หยุดชะลอเวลาถึงไฮท์ไลท์สำคัญๆ เช่นน้ำตกต่างๆ ที่ไหลจากหน้าผาริมฝั่งลงสู่ทะเล รวมถึงเรื่องราวของหินที่เห็นเป็นรูปร่างต่างๆดูแปลกตา และตามหาหมีสีน้ำตาลให้นักท่องเที่ยวได้ชม ซึ่งรวมถึงนกทะเลและสัตว์ป่าต่างๆด้วย โดยเรือรอบที่ฉันไปนี้ โชคดีได้เจอหมีสีน้ำตาลถึงสองครั้ง ครั้งแรกมาตัวเดียวเดี่ยวๆ และอยู่ในพุ่มไม้ค่อนข้างไกล ส่วนครั้งที่สอง ได้เจอหมีแม่ลูกสองตัวเดินส่ายก้นอาดๆบนหาดหินริมฝั่งทะเลกันเลยทีเดียว เรือจะลัดเลาะไปตามคาบสมุทรที่เป็นป่าและทุ่งหญ้าเขียวขจีไปจนถึงจุดหนึ่งก็วกกลับลงมาที่เดิม กินเวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง แม้เรือจะมีที่นั่งด้านในให้หลบลม แต่ถ้าอยากถ่ายภาพระหว่างนั่งเรือไปด้วยแล้ว คงต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวรวมทั้งหมวกและถุงมือกันดีๆ เนื่องจากลมทะเลที่พัดผ่านเป็นลมเย็นยะเยือกจนทำให้หนาวสั่นได้หากต้องนั่งแช่ข้างนอกนานๆเพราะกลัวพลาดไฮไลท์สำคัญๆ…

ถนนทางเข้าอุทยานฯ ทางฝั่งตะวันตกนี้ จะผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Shiretoko Nature Center) ที่มีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับอุทยานฯ เป็นอย่างดี และเป็นจุดเริ่มต้นเทรลที่จะเดินไปยังน้ำตก Furepe (ฟุเรเปะ)และจองไกด์สำหรับเดินเทรลทะเลสาบทั้งห้าแห่งชิเรโตโกะ (Shiretoko Goko Trail) ซึ่งต้องขับรถไปที่จุดเริ่มต้นตามถนนที่เลาะคาบสมุทรด้านนี้ไป (ถนนเส้นนี้ปิดช่วงปลาย พ.ย. ถึง ต้น เม.ย.) หลังจากที่จองไกด์เดินทะเลสาบสำหรับวันต่อไปแล้ว ในตอนแรกฉันกะจะเดินเทรลไปน้ำตกหลังศูนย์ฯก่อนแต่กลับเจอป้ายห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากช่วงเช้ามีน้องหมีเดินเผ่นผ่านแถวเทรลอยู่ เลยตัดสินใจขับรถไปตามถนนด้านนี้จนสุดถนนที่น้ำตกร้อน Kamuiwakkayu-no-taki (คามุอิวักกะยุโนะทาคิ) ซึ่งถนนระหว่างทางก่อนจะไปถึงที่ลัดเลาะไปตามป่าเขียวชอุ่มสวยงามมาก โดยเฉพาะวิวเทือกเขา Shiretoko ที่ยอดเขายังมีธารน้ำแข็งปกคลุมอยู่บ้าง ระหว่างทางเจอคุณลุงคนญี่ปุ่นนั่งรอถ่ายภาพนกตามจุดต่างๆเป็นระยะๆ ถนนจะสิ้นสุดลงตรงที่จอดรถชมน้ำตกร้อน ดินแดนต่อจากนี้ไปเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเท่านั้น คนห้ามเข้า ตัวน้ำตกไม่ได้ร้อนจัด แต่เป็นน้ำอุ่นๆสบายเท้า เพราะน้ำที่ไหลมาจากยอดเขา Iou (อิโออุ) นั้นเป็นน้ำแร่ hot spring นั่นเอง จากที่จอดรถสามารถเดินลัดเลาะไปตามน้ำตกขึ้นไปได้ประมาณร้อยกว่าเมตร ก็จะเจอแอ่งน้ำแร่ที่สามารถลงไปแช่ได้อย่างสบายใจ (ห้ามเดินสูงขึ้นไปกว่านั้น) ตัวแม่น้ำที่เป็นที่มาของน้ำตกแห่งนี้เป็นแม่น้ำสายเดียวในคาบสมุทรที่ไม่กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว สมกับชื่อที่ชาวไอนุ (ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของฮอกไกโด) เรียกว่า Kamuiwakka (คามุอิวักกะ) ซึ่งมีความหมายว่าสายน้ำแห่งเทพเจ้า…จากจุดนี้แม่น้ำจะไหลต่อไปลงทะเลที่หน้าผาน้ำตก Kamuiwakka ชื่อเดียวกัน ซึ่งสามารถมองเห็นน้ำตกนี้ได้จากการล่องเรือ



ฉันกลับมาที่ศูนย์ฯอีกครั้ง คราวนี้ป้ายเตือนเรื่องน้องหมีหายไปแล้ว สามารถเดินเทรลได้ เลยได้มีโอกาสเดินชมธรรมชาติไปดูน้ำตก Furepe ที่ริมหน้าผา (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) หลังจากที่เห็นน้ำตกจากการล่องเรือไปแล้ว ชื่อน้ำตกมีความหมายว่าแม่น้ำสีแดง เพราะเวลาเอามือรองน้ำจะเห็นเป็นสีแดงจากธาตุเหล็กที่ผสมอยู่ แต่น้ำตกนี้ก็มีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “น้ำตาของหญิงสาว” ด้วยเนื่องจากน้ำตกไหลลงมาเป็นสองเส้นที่หน้าผาดูเหมือนคนกำลังร้องไห้ ระหว่างทางเดินเทรล ฉันได้เจอกับกวางป่าแห่งฮอกไกโดหากินอยู่หลายตัว และก็ลุ้นๆเหมือนกันว่าจะป๊ะกับน้องหมีหรือไม่ เพราะเธอเพิ่งผ่านไปเมื่อช่วงเช้านี้เอง




เมื่อถึงวันที่ฉันได้มีโอกาสไปเดินเทรลทะเลสาบทั้งห้า หนึ่งในไฮไลท์ของอุทยานฯแห่งนี้ตามที่ได้จองไกด์เอาไว้ (เทรลนี้บังคับให้ต้องใช้ไกด์ที่มีใบอนุญาตของอุทยานฯช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม หลักๆก็เพราะมีหมีออกมาหากินแล้วนั่นเอง) ฉันขับรถไปที่ Field House จุดนัดพบแต่เช้าตรู่ตามเวลาที่นัดแนะเอาไว้ โดยก่อนเข้าเทรล ไกด์จะแนะนำอะไรนิดหน่อยและให้ชมวีดีโอว่าควรทำอย่างไรเมื่อเจอหมี! ก่อนเดินเข้าเทรลจะต้องเอาแปรงทำความสะอาดรองเท้า เพื่อกันไม่ให้เอาเมล็ดพันธุ์พืชต่างถิ่นที่ติดมาตามรองเท้าเข้าไปในพื้นที่โดยไม่รู้ตัว



เส้นทางเดินใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เดินไล่ดูทะเลสาบตั้งแต่หมายเลข 5 ไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดที่ทะเลสาบหมายเลข 1 ก็นับว่าเป็นความโชคดีอีกที่วันที่ไปเดินนั้น แดดดี อากาศเย็นสบายยี่สิบนิดๆ ฟ้าใส ถ่ายรูปทะเลสาบสะท้อนภูเขาและท้องฟ้าได้อย่างงดงาม ไกด์ (จองที่พูดภาษาอังกฤษได้) ก็ให้ความรู้ระหว่างทางเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของหมี และสัตว์อื่นๆที่เจอระหว่างทาง เช่น กบ นก กวาง รวมไปถึงพืชพรรณธรรมชาติ ดอกไม้ สายน้ำ และร่องรอยทางธรรมชาติต่างๆระหว่างทางจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เส้นทางเดินมาบรรจบกับทางเดินยกระดับยาวประมาณ 800 เมตร (Board Walk Trail) ที่สร้างยกสูงเหนือพืชพรรณด้านล่าง ซึ่งนักท่องเที่ยวโดยทั่วไปสามารถเดินชมเองได้ เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สำคัญของอุทยานฯ ก่อนมาจบลงที่ Field House จุดเริ่มต้นที่มีห้องน้ำ และร้านขายของเล็กๆอยู่ ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อย่าลืมที่จะแวะซื้อชิมไอศครีมสีชมพู (Soft Cream) รสชาติเฉพาะของที่นี่ เพราะเป็นรสชาติของลูกแครนเบอร์รี่ภูเขาหรือลินกอนเบอร์รี่ (lingonberry) ซึ่งพบได้ในป่าบนคาบสมุทรแห่งนี้




ฉันเดินทางข้ามคาบสมุทรบนเส้นทาง Shiretoko Pass มาทางฝั่งตะวันออกของอุทยานฯ น่าเสียดายที่วิวที่ว่ากันว่าสวยงามมากตามถนนบนเส้นทางนี้ถูกบดบังด้วยสายหมอกเป็นส่วนใหญ่ เลยไม่มีภาพงามๆระหว่างเส้นทางมาฝากกัน อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเมือง Rausu ของอีกด้าน สิ่งที่ฉันทำคือล่องเรือออกไปชมวาฬเพชรฆาต แม้ว่าจะอยู่ในบรรยากาศขมุกขมัวไม่เหมือนอีกด้านของคาบสมุทร แต่ก็ยังได้เห็นครีบของพวกมันโผล่ออกมาไหวๆให้ได้ตื่นเต้น ก่อนจะขับรถลัดเลาะไปตามถนนแคบๆสาย 87 ของชายฝั่งด้านนี้ ซึ่งระหว่างทางจะเห็นป้ายระวังน้องหมีตลอดเส้นทาง ผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเล็กๆ ผ่านน้ำตกที่ตกจากหน้าผาอยู่ริมถนน และแวะพักชมและแช่น้ำแร่ธรรมชาติริมทะเลสองแห่ง หนึ่งคือ Seseki Onsen ที่มีน้ำแร่ผุดออกมาจากปะการังหินใต้น้ำทะเล ถือเป็นอ่างน้ำแร่ลึกลับที่สามารถลงแช่ได้เฉพาะตอนน้ำลงเท่านั้น อีกแห่งคือ Aidomori Onsen ซึ่งถือเป็นแอ่งน้ำแร่ธรรมชาติที่อยู่ปลายสุดถนนด้านตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ตัวน้ำแร่ไหลออกมาอยู่ในบ่อที่ชาวบ้านขุดเอาไว้ ซึ่งอยู่ริมทะเลเช่นเดียวกัน ในวันที่อากาศดีเขาว่าสามารถแช่น้ำแร่อุ่นๆ ชมวิวเกาะ Kunashiri ของรัสเซียชิลล์ๆได้อีกด้วย



จริงๆแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกหลายแห่งในบริเวณนี้ที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ และมีอีกหลายกิจกรรมที่สามารถทำได้ในช่วงฤดูกาลที่แตกต่างกันในแต่ละปี สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติจริงๆจังๆ แบบไวล์ๆที่ไม่ใช่แบบปรุงแต่งขึ้นแล้ว รับรองว่าคาบสมุทร Shiretoko แห่งนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน