
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีข่าน (Khan) องค์หนึ่งต้องการที่จะสร้างเมือง เขาถามราษฎรของเขาว่า “เราควรจะสร้างเมืองที่ไหนดี?” มีเสียงตอบกลับขึ้นมาว่า “จงเติมน้ำในหม้อต้ม (ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Kazan) วางไว้บนเกวียนเทียมม้า แล้วจุดไฟใต้หม้อต้มน้ำนั้น แล้วปล่อยให้ม้าเดินออกไป หากน้ำในหม้อต้มนั้นเดือดที่ไหน ก็ให้สร้างเมือง ณ ตรงจุดนั้น” แล้วพวกเขาก็ทำตามเสียงนั่น น้ำในหม้อต้มที่ว่ามาเดือดในอาณาเขตที่เป็นที่ตั้งของเมือง Kazan (คาซาน)ในปัจจุบัน นี่คือตำนานที่สืบทอดต่อกันมาเกี่ยวกับการสร้างเมืองหลวงของชาว Tatar (ตาตาร์) แห่งมลรัฐ Tatarstan Republic (ตาตาร์สถานรีพับลิค) ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียแห่งนี้
แม้ Kazan จะอยู่นอกเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียดั้งเดิม แต่ฉันก็ตั้งใจนั่งรถไฟต่อมาทางนี้ เพราะที่นี่มีวัฒนธรรมของชาว Tatar (ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับ Tartar Sauce ยอดฮิต) ชาวมุสลิมเชื้อสายมองโกเลียที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณดินแดนที่เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำ Volga (โวลก้า) และแม่น้ำ Kazanka (คาซานก้า) แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 14 ซึ่งทำให้ที่นี่มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนที่อื่นๆในรัสเซียปัจจุบัน ในอดีตชาว Tatar มีอิสระในการปกครองตนเองจนมาถูกพระเจ้าซาร์อีวานที่ 3 แห่งรัสเซียเข้ายึดครองในปลายคริสตศตวรรษที่ 15 จนมีการลุกฮือของข่านผู้ปกครองดั้งเดิมทำการสังหารหมู่ชาวรัสเซียหลังจากนั้น อย่างไรก็ดีในสมัยพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 ที่ได้รับการขนานนามว่าซาร์อีวานผู้โหดเหี้ยม (Evan, the Terrible) Kazan ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียอีกครั้งและหลายๆอย่างได้ถูกทำลายลงในยุคนั้น รวมถึงการเผาเมืองจากการจราจลในยุคต่อมา อย่างไรก็ดี ตัวเมืองได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในสมัยพระเจ้าแคทเธอรีนมหาราชินี แต่ Tatarstan ก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียมาจนปัจจุบัน แม้ในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย เมืองขึ้นหลายแห่งต่างแยกตัวเป็นประเทศต่างๆ แต่มลรัฐแห่งนี้ก็ไม่ได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระแต่อย่างใด อันอาจเป็นเพราะพื้นที่โดยรอบยังคงเป็นรัสเซียอยู่ก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีชาวตาตาร์อาศัยอยู่ในเมือง 60-65% (น่าจะถึง 80% ในทั้งมลรัฐ) ที่นี่จึงมีวัฒนธรรมตาตาร์ที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัสยิด งานฝีมือ อาหาร การแต่งกาย รวมไปถึงหน้าตาของชาวเมืองเองก็แตกต่างจากความเป็นรัสเซียทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด แต่วัฒนธรรมเหล่านั้นก็ผสมผสานหล่อหลอมร่วมกับวัฒนธรรมของรัสเซียมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
มาถึงเมือง Kazan กันแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้คือพระราชวังที่เรียกกันว่า Kazan Kremlin (เครมลินแห่งคาซาน) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งในอดีตสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ตั้งของป้อมปราการเก่าแก่ของชาว Tatar ที่สร้างขึ้นมา 4-500 ปีก่อนหน้านั้นนั่นเอง ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตแบบพระราชวังเครมลินที่มอสโคว์ แต่ก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มจากแนวกำแพงสีขาวขนาดใหญ่ที่มีหลังคาเป็นไม้ ปากทางเข้าเป็นหอนาฬิกาสีขาวที่เรียกกันว่า Spasskaya Tower โดยที่หน้าหอนาฬิกานี้จะมีรูปปั้นของกวีชาวตาตาร์ Musa Jalil (มูซา จาลิล) ที่ได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกจับเป็นเชลยศึกในคุกนาซีที่เมืองเบอร์ลิน เขาได้เขียนบันทึกเป็นบทกวีบนกระดาษมวนบุหรี่ขณะติดอยู่ในคุก (ซึ่งถือเป็นบันทึกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาวตาตาร์ในปัจจุบัน) และถูกสังหารในขณะที่ยังเป็นเชลยศึกอยู่นั่นเอง
ด้านในของ Kazan Kremlin เป็นที่ตั้งของอาคารหลายหลัง หนึ่งในอาคารที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือมัสยิดที่มีโดมสีฟ้าสดที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2005 และใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี ถือเป็นของแปลกสำหรับชาวรัสเซียเองด้วยเพราะที่ผ่านมาเห็นแต่ศาสนสถานเป็นโบสถ์ออโธด็อกส์เสียมากกว่า ตัวมัสยิดมีชื่อว่า Kul Sharif Mosque (มัสยิดคูลชารีฟ) ซึ่งเป็นชื่อของวีรบุรุษอิม่ามชาวตาตาร์ที่พยายามปกป้อง Kazan จากพระเจ้าซาร์อีวานผู้โหดเหี้ยมเมื่อสมัยคริสตศตวรรษที่ 16 ตัวมัสยิดเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านในได้ พอเข้าไปก็จะได้ยินและได้เห็นคนอ่านบทสวดในห้องกระจกตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (ผลัดกันอ่านกะละ 2 ชั่วโมง) ตรงกลางโถงมีรูปจำลองของมัสยิดขนาดเล็กจัดแสดงอย่างสวยงาม พื้นที่ภายในสร้างจากหินสีและหินอ่อน ค่อนข้างเรียบง่ายสมัยใหม่ ไม่เห็นการเขียนลายแบบน่าตื่นตะลึงแบบในตุรกี มีรูปภาพของกรุงเมกกะและเมือง Bolgar (โบลการ์) เมืองหลวงเก่าของชาวตาตาร์ที่ตั้งอยู่ห่างจาก Kazan ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 140 กม. ประดับอยู่ที่ด้านหนึ่งของโถง นอกจากนี้ยังสามารถเดินขึ้นไปชมมัสยิดจากด้านบนได้อีกด้วย เดินออกจากตัวมัสยิดมาก็จะเห็นหอเอน Suyumbike Tower ตั้งชื่อตามเจ้าหญิงในตำนานที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับ Evan the Terrible แล้วกระโดดฆ่าตัวตายที่หอนี้ แต่ในความเป็นจริงหอแห่งนี้สร้างขึ้นในอีกร้อยกว่าปีให้หลัง ว่ากันว่าในอดีตก่อนจะมีการบูรณะฐานของหอเอนในภายหลัง หอนี้เอียงจากฐานถึงยอดประมาณ 1.98 เมตรเลยทีเดียว ตัวหอคอยถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมือง Kazan
Annunciation Cathedral Inside Kul Sherif Mosque Inside Annunciation Cathedral Suyumbike Leaning Tower
อีกหนึ่งอาคารที่น่าเข้าชมอีกหนึ่งหลังคือโบสถ์ Annunciation Cathedral ที่เปลี่ยนจากโบสถ์ไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาร์อีวานผู้โหดเหี้ยมมาเป็นก่ออิฐถือปูนในสมัยศตวรรษที่ 17 และมีการถูกทำลายและสร้างต่อเติมเป็นช่วงๆในระยะเวลาต่อมา จนมีการบูรณะล่าสุดในปี ค.ศ. 2005 โบสถ์คริสต์ออโธด็อกส์นี้พิเศษตรงที่สามารถเข้าไปชมข้างในและถ่ายรูปได้ (โบสถ์โดยทั่วไปในรัสเซียส่วนใหญ่ห้ามถ่ายรูป) และถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ของเมือง Kazan นอกจากนี้แล้วภายในเครมลินแห่งนี้ยังมีอาคารสำนักงาน พิพิธภัณฑ์ และวังของเจ้าผู้ครองนครตั้งอยู่ และยังมีลานจุดชมวิวเมืองที่สามารถมองเห็นเมืองแบบพานอรามาได้ ไม่ว่าจะเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย ตึกโอ่โถงสง่างามสมัยใหม่ของคอนโดหรูที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอาคารขนาดมหึมาของกระทรวงเกษตรและอาหาร ที่ว่ากันว่าสร้างเสร็จภายใน 2 ปี โดยมีประติมากรรมสำริดรูปต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านหน้าตัวตึกเป็นไฮไลท์ผลงานที่สำคัญ เป็นต้น… Kazan Kremlin แห่งนี้ยังได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 อีกด้วย
นอกจากตัวพระราชวัง Kazan Kremlin แล้ว ยังมีสิ่งน่าสนใจที่สามารถเดินชมได้รอบๆเมือง ตัวถนนหนทางและตัวเมือง Kazan ได้รับงบประมาณในการพัฒนาในช่วงบอลโลก 2018 ที่ผ่านมา หลายๆอย่างจึงดูดีงามตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นทางเดินและร้านค้าริมน้ำ (The Promenade) เชิงเนินเครมลิน ที่มีภัตตาคารสมัยใหม่สร้างในบรรยากาศแบบชิลล์ๆ ตั้งเรียงรายอยู่ริมน้ำ อันนี้ก็มีเรื่องน่าขำอยู่เรื่องคือ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาที่ฉันเดินทางผ่านไซบีเรียและรัสเซีย ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนที่นี่ไม่กินน้ำแข็งกัน แต่ร้านกาแฟที่นี่ที่เข้าไปร้านหนึ่งมีขาย Iced Coffee ผนวกกับช่วงที่ไปเดินเป็นช่วงกลางวันอากาศค่อนข้างร้อน (เกือบๆ 30 องศา) ฉันก็เลยสั่งเจ้า Iced Coffee นี่มาลอง กะว่าคงจะได้กาแฟใส่น้ำแข็งเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจสักแก้ว ปรากฏว่าสิ่งที่ได้รับคือกาแฟร้อนใส่ไอศกรีมมาหนึ่งก้อนแทน (แป่ว!) ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานไอศกรีมที่ว่าก็ละลายกลายเป็นเหมือนครีมในกาแฟอุ่นๆนั่นเอง…



อีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ที่ดูอลังการคืออนุสาวรีย์หม้อต้มยักษ์ (cauldron) อันเป็นความหมายของชื่อเมือง Kazan พร้อมประติมากรรมขนาดยักษ์รูปสัตว์คล้ายมังกรที่เรียกว่า Zilant และเสือดาวเผือกมีปีกทั้งตัวผู้และตัวเมีย อันเป็นสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ (emblem) ของรัฐ Tatarstan และเมือง Kazan ตามลำดับ จริงๆแล้วที่นี่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Kazan Family Center เพราะสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดใหญ่โตมโหฬาร และมีดาดฟ้าเป็นจุดชมวิวเมืองอีกแห่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Kazanka
มีคนบอกมาว่า Kazan เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก สามารถเดินชมจุดสำคัญๆของเมืองได้ แต่ในความเป็นจริงฉันว่าโชคดีมากที่เมืองนี้มีรถไฟใต้ดินที่เพิ่งสร้างได้ไม่นาน รถแท็กซี่ Uber ราคาถูก และรถสาธารณะอื่นๆให้ได้ใช้ ไม่งั้นคงเดินกันขาลากแน่ๆ และด้วยบริการขนส่งสาธารณะเหล่านี้ ทำให้ฉันสามารถร่อนไปหาเจ้าชายน้อย (Little Prince) ที่หน้าตึก Tatar State Puppet Theatre “Ekiyat” โรงละครหุ่นกระบอกชั้นนำแห่งหนึ่งของรัสเซีย ที่มีการแสดงผลัดเปลี่ยนมาให้เด็กๆรวมถึงผู้ใหญ่ได้ตื่นตาตื่นใจกว่า 40 การแสดง โดยใช้ระบบการเชิดหุ่นกระบอกทั้งแบบคลาสสิคไปจนถึงสมัยใหม่ Art Nouveau Style ขึ้นอยู่กับแต่ละการแสดงเลยทีเดียว (Ekiyat เป็นชื่อของนักเขียนบทละครชื่อดังชาวตาตาร์) จากนั้นก็ได้ไปลิ้มรสอาหารพื้นเมืองและชื่นชมบรรยากาศของชาวตาตาร์แบบดั้งเดิมที่ Old Tatar Settlement ซึ่งสามารถชมบ้านไม้แบบดั้งเดิมแต่บูรณะใหม่ทาสีสันสดใสบริเวณย่านเก่าที่ชาวตาตาร์เคยถูกบังคับให้อยู่ในช่วงที่เมือง Kazan ถูกยึดครองตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันบ้านไม้เหล่านั้น ถูกตกแต่งใหม่ทำเป็นร้านอาหารพื้นเมืองบ้าง ร้านขายของพื้นเมืองบ้าง รวมถึงร้านขายศิลปหัตถกรรมพื้นเมืองของชาวตาตาร์ ในส่วนของอาหารพื้นเมืองนั้น ฉันได้ลองทั้งเนื้อม้าดิบ (หมักเกลือ) ตาตาร์มีทพายที่เรียกว่า Balesh ไปจนถึงขนมหวานสุดฮิตที่เรียกว่า Chak Chak ที่หน้าตาคล้ายๆถั่วตัดแต่เป็นแป้งปาท๋องโก๋เล็กๆมาทอดกรอบชุบน้ำผึ้ง อย่างอิ่มหนำสำราญ
สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกเมือง หากยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ก็คือการไปช้อปปิ้งสตรีทหรือถนนคนเดินที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบกลางเมืองและพระราชวังมากนัก ถนนสายนี้มีชื่อเรียกว่า Bauman Street (Ulitsa Baumana) ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมายแล้ว ยังมีหอระฆังของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ Epiphany Cathedral สูง 74 เมตร (สามารถขึ้นไปด้านบนได้) ตั้งโดดเด่นอยู่ริมถนนใกล้ๆกับธนาคารชาติแห่งตาตาร์สถาน (ที่มีเรื่องเล่าของทองคำจำนวนมหาศาลที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่นี่ แต่ยังไม่มีใครหาเจอ) ตามถนนยังมีรูปปั้นนู่นนี่นั่นที่มาจากตำนานพื้นบ้าน การ์ตูนและนิทานต่างๆ รวมไปถึงประติมากรรมกลางแจ้งสมัยใหม่ มีนักดนตรีเปิดหมวก นักแสดงมายากล คนใส่ชุดสัตว์ต่างๆให้เด็กๆและคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ถ่ายรูปเป็นที่ครึกครื้น ช่วยสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวากับการเที่ยวชมเมือง Kazan ก่อนจะหมดวันได้เป็นอย่างดี



