I visited this lake in January 2015. At that time, I met with the Ramsar Committee coming to evaluate this great lake. Now, from February 2, 2016, on the World Wetlands Day, this lake has been designated as a new Wetland of International Importance in the Ramsar List. What a great news! Here is my article about the lake written last year. Enjoy the wetland!
ชื่อของทะเลสาบอินดอจี (Indawgyi Lake) ในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของพม่า อาจไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาสำหรับใครหลายๆคน เพราะหากพูดถึงการท่องเที่ยวทะเลสาบของพม่า แทบทุกคนจะหันไปสนใจทะเลสาบอินเลมากกว่า ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ทะเลสาบอินดอจีที่ฉันจะกล่าวถึงนี้ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของพม่า และน่าจะเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียด้วยซ้ำ… เพื่อนชาวพม่าของฉันเคยเอ่ยถึงทะเลสาบแห่งนี้หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขารู้ว่าฉันชอบดูนก ทุกครั้งที่เจอเขาจะบอกว่าไปดูนกที่อินดอจีสิ ช่วงหน้าหนาวมีนกน้ำเยอะมาก แต่เนื่องจากความห่างไกลและไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ทริปไปทะเลสาบอินดอจีของฉันจึงไม่ถือกำเนิดขึ้นสักที จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่ฉันได้มีโอกาสเดินทางไปที่รัฐคะฉิ่น ทะเลสาบแห่งนี้จึงเข้ามาอยู่ในลิสต์สถานที่ที่ฉันตั้งใจจะแวะไปให้ได้สักครั้ง
การเดินทางไปที่ทะเลสาบโดยทั่วไป สามารถไปได้โดยทางรถไฟ ไม่ว่าจะขึ้นจากเมืองมิตจีน่า (Myitkyina) (ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง) หรือมัณฑะเลย์ (Mandalay) (ใช้เวลาประมาณ 15-16 ชั่วโมงหรือหนึ่งคืน) โดยลงรถไฟที่สถานี Hopin (โฮปิน) จากนั้นก็ต้องหารถต่อไปที่ทะเลสาบ ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งดูค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย เนื่องจากจะต้องจับรถกลับมาให้ทันรถไฟขากลับอีก สุดท้ายหลังจากปรึกษากับเพื่อนร่วมทางแล้ว พวกเราจึงเลือกเดินทางด้วยการเหมารถไปที่ทะเลสาบจากเมืองมิตจีน่าที่พวกเราพักอยู่ รถขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมลุย มาจอดรอรับพวกเราที่หน้าโรงแรมในเมืองตอน 9 โมงเช้า พวกเราขนเสบียงและสัมภาระใส่หลังรถ ก่อนออกจากเมืองตลุยเส้นทางอันหฤโหดและหฤหรรถ์มากๆ เนื่องจากรถขย่มตลอดทาง ถนนกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างแทบจะตลอดทั้งสาย พวกเรานั่งโยกเยกมาถึงเมืองโฮปิน ที่เป็นจุดลงรถไฟ (หากมาทางรถไฟ) เอาเมื่อตอนบ่ายโมง ที่นี่พวกเราแวะกินข้าวและจะต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจก่อน (หลังจากที่รายงานตัวครั้งหนึ่งเมื่อตอนออกนอกเขตเมืองมิตจีน่า) คนขับรถดูจะรู้เรื่องดีว่าอะไรเป็นอะไร อยู่ที่ไหน จึงไม่ลำบากลำบนอะไรนัก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ตีรถไปทะเลสาบอีกรอบซึ่งก็ต้องโขยกโยกเยกกันไปอีก เมื่อรถข้ามเขาสูงชันหนึ่งลูก (ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างขยายถนน) จากบนเขาสามารถมองเห็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ฉันแอบนึกดีใจว่าจะถึงสักที ที่ไหนได้ ยังคงต้องไปอีกชั่วโมงกว่าๆ กว่าจะถึงเกสเฮ้าส์ที่พัก ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบอันกว้างใหญ่เอาตอนบ่าย 4 โมง ที่พักในเมืองเล็กๆที่ชื่อลอนทอน (Lonton) ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเลย เป็นเกสเฮ้าส์ที่พักแห่งเดียวสำหรับนักท่องเที่ยวที่เก่าแก่เกือบ 20 ปีแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ดั้งเดิมคือ องค์กรบริหารของหมู่บ้านสร้างเอาไว้รับแขก ถ้าช่วงไม่มีแขกก็จะปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก โดยคิดราคาค่อนข้างถูกมาก มีห้องทั้งหมด 7-8 ห้อง มีแค่ที่นอนให้ห้องละสองที่นอน มีห้องน้ำรวมแยกต่างหากสองห้อง อย่างไรก็ดี บริเวณข้างเคียงที่เป็นเขตทหาร ก็มีบ้านพักรับรองเจ้าหน้าที่ที่มีคนมาแอบกระซิบว่า ถ้าช่วงว่างๆเขาก็ปล่อยห้องให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้เหมือนกัน บ้านพักจะดูดีกว่าใหม่กว่า แต่ราคาก็แพงกว่าด้วย
ตอนช่วงเย็นๆ ชาวบ้านจะออกมาอาบน้ำ เล่นน้ำ และทำกิจกรรมต่างๆริมทะเลสาบ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีท่ามกลางแสงยามเย็นงามๆที่จะได้ออกไปถ่ายรูปวิถีชีวิตริมน้ำได้ อย่างไรก็ดี ฉันได้รับคำเตือนจากเพื่อนชาวพม่าและคนดูแลที่พักว่า อย่าถ่ายรูปไปทางเขตทหารก็แล้วกัน…ตกเย็นอากาศค่อนข้างเย็น เหมาะกับการนั่งจิบชาชมวิวทะเลสาบเอามากๆ ใกล้ๆที่พักมีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้านที่มีแต่อาหารพื้นเมืองที่อร่อยและถูกและดี มีกุ้งฝอยและปลาจากทะเลสาบขายด้วย ตกดึกพวกเราเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะไฟจะปั่นให้ไม่กี่ชั่วโมงตอนค่ำ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีกแล้ว พักเอาแรงสำหรับทริปลงเรือแต่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นดีกว่า
การชมทะเลสาบอันกว้างใหญ่ (กว้างประมาณ 13 กม. ยาวประมาณ 24 กม. ที่ความสูง 166 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ให้ทั่วถึงคงหนีไม่พ้นการเช่าเรือวนในทะเลสาบ พวกเราออกกันตั้งแต่เช้าตรู่ ขณะที่หมอกยังคลุมอยู่ทั่วท้องน้ำ นกน้ำมากมายแวกว่ายลอยคอและบินกระพือหนีออกไปทิ้งระยะห่างกับเรือเวลาที่เข้าไปใกล้ นกนางนวลบินวนให้เห็นเป็นระยะๆในม่านหมอก คนขับเรือพาแล่นเลาะชายขอบวนขึ้นไปทางตอนบนของทะเลสาบ จนถึงพระเจดีย์กลางน้ำชเวมินซุ (Shwe Myint Zu Pagoda) เจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรัฐคะฉิ่นก็ว่าได้ แม้ว่าเจดีย์สีทองจะยังดูไม่เด่นออกมาในม่านหมอกยามเมื่อยังไม่มีแสงมาตกกระทบ แต่นกนางนวลจำนวนมากที่อพยพมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ช่วงหน้าหนาวที่พักพิงอยู่บริเวณรอบๆเจดีย์ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ได้ไม่น้อย นกจะบินไล่ตามเรือกันเป็นฝูงหากมีการให้อาหารและเข้ามาใกล้คนค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี คนขับเรือพาเรือเข้าจอดแวะที่หมู่บ้านริมทะเลสาบ เพราะยังมองอะไรไม่ค่อยเห็น พวกเราจึงถือโอกาสกินอาหารเช้าอันได้แก่ข้าวซอยชาวฉาน (Shan Noodle) กันไปด้วยในตัว ที่หมู่บ้านริมเจดีย์กลางน้ำนี้มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงราย ซึ่งจะคึกคักเอามากๆเมื่อถึงวันงานเทศกาลของเจดีย์ชเวมินซุแห่งนี้ในเดือนมีนาคม ซึ่งจะมีการจัดงานกันเป็นเวลาประมาณ 10 วันและมีคนมาร่วมงานเป็นแสนคน ว่ากันว่าเจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้ามินดง (Mindon) โดยพระสงฆ์ที่ชื่อ U Sobhita ที่ทำสมาธิและเผยแพร่ศาสนาในบริเวณรอบๆทะเลสาบแห่งนี้ได้ชักชวนชาวบ้านให้รวบรวมเงินกันสร้างเจดีย์นี้ขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นมาเช่นในปัจจุบัน ในช่วงเดือนมีนาคมที่มีงานเทศกาล น้ำของทะเลสาบจะลดลงจนเห็นเป็นทางเดินจากหมู่บ้านไปที่ทะเลสาบกลางน้ำได้ ฉันมาในช่วงที่น้ำยังไม่ลดเต็มที่ จึงเห็นเพียงเสาไฟตั้งเรียงรายจากหมู่บ้านไปยังเจดีย์ ที่เป็นเสมือนแนวบอกเส้นทางเดินไปนมัสการในช่วงฤดูแล้ง ชาวบ้านบอกว่างานเทศกาลที่กำลังจะมาถึงในปีนี้จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลให้มีการก่อสร้างถนนตลอดสายกันขนานใหญ่ในบริเวณนี้ เพราะรัฐบาลต้องการให้ถนนเสร็จก่อนวันงานนั่นเอง
เมื่อแดดออก พวกเราต่างก็นั่งเรือต่อขึ้นไปทางเหนือ วนดูนกไปเรื่อยๆ ทะเลสาบแห่งนี้มีนกกว่า 100 ชนิดมารวมกันมากมายกว่า 20,000 ตัว ไม่ว่าจะเป็นนกน้ำชนิดต่างๆ รวมทั้งนกหายากอย่างเช่นนกกระเรียน อีแร้ง เหยี่ยว นกเป็ดน้ำ และนกกระสาหายากชนิดต่างๆ ริมทะเลสาบจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 หมู่บ้านรอบๆทะเลสาบ โดยมากจะเป็นชาวฉานและชาวคะฉิ่น ที่ไหนมีหมู่บ้านก็จะเห็นเจดีย์สีทองเล็กๆตั้งอยู่ด้วย คนขับเรือบังคับเรือช้าเร็วตามที่พวกเราต้องการตามจังหวะการดูนกและถ่ายภาพ อยากไปทางไหนก็บอกให้แกพาไปได้ตามสะดวก เพราะเช่าเหมากันทั้งวัน
ยามเมื่อแดดเริ่มจัด พวกเราขอให้แกพาไปดูตลาดปลาในทะเลสาบ แกพาขับตัดกลางทะเลสาบไปอีกด้านหนึ่ง เห็นเป็นแพเล็กๆมีหลังคาเป็นรูปสามเหลี่ยมจอดนิ่งอยู่กลางน้ำ ที่นี่คือแพปลานั่นเอง ชาวบ้านจับปลาได้ถ้าต้องการขายก็จะรวบรวมมาชั่งกิโลขายที่แพปลาแห่งนี้ คนในแพปลาจะคัดแยกขนาด และแปรรูปง่ายๆเพื่อรวบรวมขายส่งต่อไป ชาวแพปลาใจดีให้พวกเราขึ้นไปชมและถ่ายรูปได้ตลอดเวลา ในขณะที่มีเรือของชาวบ้านแวะเข้ามาซื้อขายปลาเป็นระยะๆ รวมถึงเรือที่เข้ามาส่งข้าวส่งน้ำให้แพด้วย
จากนั้น คนขับเรือพาเราเลาะไปตามลำน้ำที่คดเคี้ยวออกไปทางด้านเหนือ อันเป็นเส้นทางไหลออกของทะเลสาบ ที่นี้เป็นที่ลุ่มน้ำที่สวยงามมาก และมีนกมากมายแอบแฝงตัวอยู่ตามสุ่มทุ่มพุ่มไม้ตลอดเส้นทาง มีบ้านชาวบ้านหลังเล็กๆตั้งอยู่ริมน้ำเป็นระยะๆ จะให้เห็นวิวดีๆคือการขึ้นไปชมวิวตรงเจดีย์ Shwe Taung (ชเวตวง) บนเขาริมปากแม่น้ำ นอกจากเจดีย์ทอง และศาลเจ้านัต (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า) ให้นมัสการแล้ว วิวจากบนเขาที่มองลงไปเห็นท้องทะเลสาบและพื้นที่สีเขียวชอุ่มริมลำน้ำอันคดเคี้ยว มีเทือกเขาสูงเป็นฉากหลังไกลๆ ถือเป็นรางวัลอันน่าพึงใจสำหรับการเดินขึ้นเขามาพอเหงื่อซึม คนเรือบอกว่า พวกเราสามารถเดินข้ามเขาไปที่หมู่บ้านอีกฝากหนึ่งได้เลย เขาจะเอาเรือไปรอรับที่นั่น แต่ด้วยความขี้เกียจ ฉันจึงเลือกที่จะนั่งเรือไปแวะหมู่บ้านชุมทาง ที่เป็นทางผ่านของคนทำงานเหมืองเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงในร้านริมทาง ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวเหมืองที่นานๆจะเห็นชาวต่างชาติหน้าตาแปลกๆเข้ามาร่วมกินข้าวข้างๆพวกเขา
ยามบ่ายของวัน พวกเราแวะชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สานขึ้นจากไม้ไผ่ที่หมู่บ้าน Namlao ในขณะที่ช่างกำลังอยู่ระหว่างการลงรักปิดทองคำเปลวทีละแผ่นๆ ใช้พู่กันทาแลคเกอร์ค่อยๆเขี่ยให้เข้าไปตามซอกที่เกิดจากการสาน ซึ่งช่างเล่าว่าประมาณการว่าจะใช้ทองคำเปลวทั้งสิ้นประมาณ 1 กิโลกรัมเพื่อให้คลุมพระพุทธรูปทั้งองค์ได้ เห็นความพยายามของช่างแล้ว ฉันก็นึกอยากกลับมายลให้เห็นกับตาอีกครั้งเมื่อเสร็จสมบูรณ์ ก่อนจะตีเรือย้อนกลับ เพื่อแวะถ่ายรูปสุดยอดความงามที่พลาดไม่ได้ อันได้แก่แสงอาทิตย์อัสดงที่ตกกระทบเจดีย์ทองกลางน้ำชเวมินซุ พร้อมฝูงนกนางนวลที่แห่กันเข้ามาเป็นดาราหน้ากล้อง ก่อนจะกลับเข้าที่พักชมแสงจันทร์ข้างแรมดวงโตสะท้อนผืนน้ำอันสงบนิ่งของทะเลสาบอินดอจีที่ริมระเบียง