หมู่บ้านประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำซาน (Zaan) แม่น้ำสายเล็กๆที่เชื่อมระบบคูคลองต่างๆของภูมิภาคซาน (Zaan District) ในจังหวัดฮอลแลนด์เหนือ ไม่ไกลจากกรุงอัมสเตอร์ดัมมากนัก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ ว่ากันว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยือนพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ถึงปีละเกือบๆล้านคน และฉันเชื่อแน่ว่าเกินกว่า 90% ของนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ มาเยือนเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเป็น Day Trip หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ Half-day Trip เท่านั้นเอง เนื่องจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพียงแค่ 20 นาทีโดยทางรถไฟจากสถานีอัมสเตอร์ดัมเซ็นเตอร์ หรือจะเดินทางโดยเรือโดยสารที่มีเปิดบริการในฤดูร้อน หรือมาตามถนนก็แสนสะดวกสบายมีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวบริการ อย่างไรก็ดี สำหรับคนต่างถิ่นที่เช่ารถขับอย่างฉัน กลับเลือกที่จะแวะพักที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ แล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวในเมืองหลวงแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการขับรถเข้าไปในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายและสับสนสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย แม้จะมีเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่การได้เดินเล่นในหมู่บ้านที่ชื่อ “ซานสคันส์ (Zaanse Schans)” แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่เงียบสงบในช่วงเช้าตรู่และพลบค่ำ ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากช่วงเวลากลางวันที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากนานาชาติที่มาเที่ยวชมความงามและความน่ารักของหมู่บ้านที่มีผู้กล่าวว่า รวมเอาความเป็นเนเธอร์แลนด์แท้ๆเอาไว้ให้ได้เห็นและสัมผัสในที่เดียว
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะซานสคันส์ หมู่บ้านในเขตเทศบาลเมืองซานสตัด (Zaanstad) แห่งนี้ เป็นพื้นที่ที่ได้มีการโยกย้ายเอากังหันลมแบบดั้งเดิมขนาดใหญ่ใช้งานได้จริง บ้านและอาคารเก่าๆในรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของภูมิภาคซานจากที่ต่างๆ ที่มีอายุอานามถึงกว่า 200-400 ปีมารวบรวมไว้ด้วยกัน ในช่วงทศวรรษ 1970 เพื่อเป็นการอนุรักษ์บ้านเรือนโบราณที่ยังเหลือกระจัดกระจายตามที่ต่างๆ และกำลังถูกคุมคามจากความเจริญ โดยมีการจัดภูมิทัศน์ที่ไม่ใช่เป็นแค่การจัดแสดงแบบไร้จิตวิญญาณ แต่เป็นการวางรูปแบบในลักษณะที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ใช้งานจริง และมีผู้คนอาศัยในบ้านจริงๆ ไว้ตรงบริเวณที่มีการสร้างคูน้ำ (ที่มาของคำว่า Schans) ประวัติศาสตร์เพื่อป้องกันการรุกรานจากกองทัพสเปนในช่วงสงคราม 80 ปีระหว่างเนเธอร์แลนด์และสเปนในช่วง ปี ค.ศ. 1574 นอกจากพื้นที่ที่อยู่ติดแม่น้ำซานแล้ว บริเวณรอบๆหมู่บ้านยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ที่ไม่มีตึกสูงสมัยใหม่ ไม่เข้าพวกมาให้เกะกะลูกหูลูกตา นอกจากพื้นที่ชุ่มน้ำโล่งๆ มีนกน้ำนานาชนิดมาใช้พื้นที่ร่วมกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ทั้งๆที่ เพียงแค่ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไป หรือเพียงข้ามไปอีกฝากหนึ่งของถนนใหญ่ที่อยู่ติดหมู่บ้าน จะเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านเรือนสมัยใหม่ก็ตาม หมู่บ้านแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการรวบรวมเอาวิถีชีวิตและความเป็นมาเป็นไปของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำซานในช่วงศตวรรษที่ 17-19 เอาไว้อย่างน่าชื่นชม ที่สำคัญ มันเป็นหมู่บ้านที่มีชีวิต มีการอยู่อาศัยจริง แม้ร้านค้า หรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆในบริเวณนี้จะเปิดเฉพาะในเวลากลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว แต่บ้านเรือนกลับปิดเงียบเพราะผู้คนออกไปทำงาน และกลับมามีชีวิตชีวาอีกในช่วงเย็นหรือวันหยุดที่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ใช้เวลาอยู่กับบ้านของตัวเอง
ฉันโชคดีที่ได้ห้องพักในแบบ B&B ที่มีอยู่แห่งเดียวของหมู่บ้านแห่งนี้ แถมยังได้ห้องที่ดีที่สุดที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำซาน กังหันลมและชุมชนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำได้อย่างกว้างไกล เฮียร์ลึคสลาเพน Heerlijck Slaapen (แปลว่าหลับฝันดี)
เป็นที่พักแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในตัวหมู่บ้านโดยตรง ที่นี่ เจ้าของได้บูรณะอาคารหลังเก่าที่ถือเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ 3 หลังขึ้นมาเป็นที่พัก โดยที่เมื่อดูจากภายนอกแล้ว ยังเห็นเป็นอาคารแบบดั้งเดิม ปลูกสร้างด้วยไม้ทาสีเขียวในแบบซานขนานแท้ แต่ภายในได้ดัดแปลงให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีส่วนของที่พักและห้องนั่งเล่นอยู่ด้านบน และมีครัวและห้องอาหารพร้อมเตาผิงที่ติดกระเบื้องเซรามิคเพ้นท์ลายแบบดัตช์แท้ๆอยู่ด้านล่าง ห้องที่ดีที่สุดที่ฉันกล่าวถึงนี้มีชื่อว่า อ้านท์โกลบ (aan’t Glop) อันเป็นภาษาโบราณที่แม้แต่ชาวดัตช์ปัจจุบันเองก็ยังไม่รู้ความหมาย (เจ้าของอธิบายว่าหมายถึงพื้นที่ว่างระหว่างตัวอาคาร) นอกจากนี้ก็มีอีกสองอาคารซึ่งต่างก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
เมื่อได้เข้าพักที่นี่ ยามเช้าฉันจึงได้มีโอกาสออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านอันเงียบสงบก่อนที่กองทัพนักท่องเที่ยวจะมาถึง ได้เห็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ จูงสุนัขออกมาเดินเล่น ไปทำงานหรือเตรียมตัวเปิดร้าน ได้เก็บภาพวิวสวยๆที่ไม่มีผู้คนเดินกันขวั่กไขว่อยู่ในภาพ ได้เดินสำรวจไปตามทางเดินเล็กๆ สวยสวยๆ สะพานโค้งข้ามคูคลองเล็กๆที่มีอยู่โดยรอบ รวมไปถึงบ้านเรือนเก่าๆได้อย่างสบายใจ ตกสายๆ เมื่อร้านรวงบริการนักท่องเที่ยวเริ่มเปิด ฉันก็ได้เดินสายตระเวนเที่ยวชมโรงงานเล็กๆ หรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณ แทบทุกอย่างที่แสดงถึงความเป็นดัตช์สามารถหาชมได้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการสาธิตการทำรองเท้าไม้ การทำชีส เครื่องดีบุก เครื่องกระเบื้อง ร้านขายเครื่องเทศ (ที่ใช้กังหันลมช่วยในการบด-ผลิต) รวมไปถึงเหล้าท้องถิ่น ร้านกาแฟ นาฬิกา ฯลฯ จะยกเว้นก็แต่ทุ่งดอกทิวลิปเท่านั้น แทบทุกที่จะมีการจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์สาธิตการผลิตเล็กๆ และมีส่วนที่เป็นร้านค้าขายสินค้านั้นๆ รวมถึงของที่ระลึกต่างๆด้วย นอกจากการซื้อของช็อปปิ้งแล้ว การเดินตามเส้นทางเล็กๆโดยรอบ ก็จะได้เห็นถึงอาคารเก่าแก่ ที่ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือที่แสดงวีถีชีวิตแบบดั้งเดิมจัดวางอยู่ บ้านและอาคารทุกหลังที่นี่มีประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์เหล่านั้น ก็มีการบอกเล่า สืบทอดออกมาเป็นตัวอักษรให้ได้อ่านหรือถามไถ่จากเจ้าของสถานที่ และบูรณะให้คงสภาพที่ดีเอาไว้ แม้ว่าบางหลังจะมีการปรับแต่ง ปรับปรุง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นต่างจากที่เคยเป็นในอดีตแล้วก็ตาม
แน่นอนว่ากังหันลม เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อพูดถึงประเทศนี้ ว่ากันว่า ในอดีต ตลอดแม่น้ำซานมีกังหันลม ประดิษฐกรรมที่คิดค้นขึ้นมาโดยใช้แรงลม มาผ่อนแรงหมุนเพลาข้อเหวี่ยงขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์ในการใช้งานต่างๆตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มากกว่า 1,000 โรง เมื่อมีวิทยาการสมัยใหม่เข้ามา การใช้ประโยชน์จากกังหันลมอย่างที่มันเคยเป็นก็ลดน้อยลงตามลำดับ และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งในปัจจุบันมีเหลืออยู่แค่ 13 โรงเท่านั้น และกังหันเก่าที่ว่า 6 โรงก็สามารถหาดูได้ที่หมู่บ้านแห่งนี้ กังหันลมเหล่านี้ยังคงได้รับการอนุรักษ์ บูรณะ และสามารถทำงานได้จริง ซึ่งแต่ละกังหันก็จะใช้ประโยชน์ต่างๆกัน อันได้แก่โรงสกัดน้ำมัน โรงทำมัสตาร์ด โรงทำเม็ดสี และโรงสีข้าว เป็นต้น เสน่ห์ของกังหันขนาดใหญ่เหล่านี้อยู่ที่ลักษณะโครงสร้างของตัวอาคารและวิศวกรรมภายในที่มีความแตกต่างกันออกไปตามการใช้ประโยชน์ แน่นอนว่าแต่ละแห่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมการทำงานของมัน และศึกษาประวัติความเป็นมาของกังหันนั้นๆได้
ในเมื่อบรรยากาศของซานสคันส์สุดแสนจะโรแมนติคเป็นใจแบบนี้ ให้รางวัลกับตัวเองด้วยดินเนอร์หรูๆในบรรยากาศดีๆสักมื้อคงไม่เป็นไร ฉันเลือกเข้าร้านอาหารฟิวชั่นข้างๆที่พัก อันมีชื่อที่ยากแก่การออกเสียงและจดจำในภาษาดัตช์ว่าเดอโฮบโอ๊บดิสวารเตอวัลวิส De Hoop op D’Swarte Walvis ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The Hope for the Black Whale ทำไมถึงต้องมาหวังที่จะเจอวาฬสีดำแถวนี้ได้? แน่นอนว่าตัวอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารแห่งนี้มันมีประวัติของมัน เพราะร้านอาหารนี้สร้างขึ้นจากอาคารเก่าแก่สามหลังมาประกอบกัน อันได้แก่ ส่วนของครัวที่เคยเป็นอาคารร้านค้าโบราณ ส่วนของห้องอาหารตั้งอยู่ในอาคารเลี้ยงเด็กกำพร้าเก่า และส่วนที่บาร์และห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวด้านบนเคยเป็นโกดังเก่าเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการล่าวาฬในอดีตมาก่อน แม้อาคารทั้งสามจะถูกย้ายมาจากที่ต่างๆกันในชุมชนริมแม่น้ำซานตลอดสาย แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามีวัฒนธรรมการออกเรือไปล่าวาฬที่เคยมีอยู่ในบริเวณชุมชมริมแม่น้ำซานนี้ และชื่อของร้านก็นำมาจากชื่อของเรือล่าวาฬลำหนึ่งในศตวรรตที่ 19 นั่นเอง นอกจากตัวอาคารแล้วเครื่องเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆที่ตกแต่งอยู่ภายในร้านก็มีประวัติทั้งนั้น สามารถสอบถามขอข้อมูลได้จากพนักงานในร้านได้
มาถึงอาหารกันบ้าง เนื่องจากเป็นร้านอาหารแบบยุโรป แล้วยังเป็นฟิวชั่นเข้าไปอีก คงเป็นการยากสำหรับคนต่างถิ่นอย่างฉัน (หรือแม้แต่คนท้องถิ่นเองก็ตาม) ที่จะตัดสินใจเลือกรายการอาหาร ร้านนี้มีตัวเลือกที่น่าสนใจคือการสั่งอะไรก็ได้ตามใจเชฟ นั่นคือเพียงแค่บอกไปว่าจะเอาเซ็ทอาหารแบบชุดใหญ่หรือชุดเล็ก (ราคาต่างกันไป) และบอกสิ่งที่ตัวเองไม่กินให้พนักงานจดไว้ ที่เหลือปล่อยให้เชพบรรเลงจินตนาการออกมาเต็มที่ หน้าที่ของฉันคือจิบไวน์ตั้งหน้าตั้งตาคอยอาหารที่จะนำออกมาเสริฟ แต่เพียงอย่างเดียว อาหารออกมาในรูปแบบที่สวยงามเก๋ไก๋และรสชาติสุดแสนอร่อย ตั้งแต่เมนูแรก (อาหารเรียกน้ำย่อย) ยันเมนูสุดท้าย (ของหวาน) สมกับที่เชฟที่นี่และร้านอาหารนี้เคยได้รับรางวัลและการยกย่อง แนะนำจากนิตยสารต่างๆ รวมถึงได้ต้อนรับการมาเยือนของราชวงศ์และบุคคลสำคัญจากประเทศต่างๆมาหลายต่อหลายครั้ง (ฉันดูจากเอกสารต่างๆในร้าน) อ้อ นอกจากดินเนอร์หรูในร้านแล้ว ช่วงกลางวันยังมีอาหารเบาๆและชากาแฟขาย โดยมีโต๊ะตั้งเรียงอยู่หน้าร้าน รวมถึงริมแม่น้ำให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ในวันที่อากาศเป็นใจอีกด้วย
ในวันสุดท้ายก่อนอำลาจากหมู่บ้านนี้ ฉันเดินลากกระเป๋าออกจากที่พักไปตามถนนสายเล็กๆที่สร้างจากบล็อคหินเรียงต่อเนื่องกันไป (ถนนนี้จะปิดไม่ให้รถผ่านเข้าออกในตอนกลางวัน ยกเว้นจะเป็นรถส่งของหรือรถของคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ) เพื่อไปยังที่จอดรถของฉัน แม้ว่าจะคุ้นตากับภาพในหมู่บ้านที่ฉันได้เดินผ่านไปมาในช่วงที่พักอยู่ แต่ก็ยังไม่วายที่จะต้องเหลียวกลับไปมอง หรือหยุดถ่ายรูปอีกเป็นระยะๆ เมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมที่เปลี่ยนแปลงไป….ฉันขอยืนยันว่าหมู่บ้านอันเป็นมรดกวัฒนธรรมเก่าแก่ ราวกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุณสมควรแวะเป็นอย่างยิ่ง หากมาจนถึงอัมสเตอร์ดัมแล้ว หรือเพิ่งมาเยือนประเทศเล็กๆแห่งนี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเพื่อความโรแมนติคส่วนตัวหรือการได้รู้จักประเทศแห่งนี้ให้มากขึ้นในระยะเวลาจำกัด