Maroc: From Fez to Volubilis

บนดินแดนทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาทางด้านฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นที่ตั้งของประเทศที่ร่ำรวยอารยธรรมอีกแห่งหนึ่งของโลก โมร็อคโคคือดินแดนที่ฉันกำลังกล่าวถึง อันที่จริงประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนับถือศาสนาอิสลามแห่งนี้ มีอะไรหลายๆอย่างที่น่าเยี่ยมชม แต่สิ่งที่ฉันขอนำเสนอในคราวนี้ เป็นความยิ่งใหญ่ของสองอารยธรรมต่างยุคต่างสมัย แต่ลงหลักปักฐานอยู่ไม่ห่างไกลกันนักในแง่ภูมิศาสตร์ หนึ่งเป็นอารยธรรมที่ยังคงมีชีวิตแม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่าพันปีแล้ว และอีกหนึ่งเป็นอารยธรรมที่ไม่มีชีวิตแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของอารยธรรมอื่นๆมากมายในปัจจุบัน หนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่ที่เมืองเฟส (Fez) การไปเยือนเมืองนี้ของฉันเน้นหนักอยู่ที่อารยธรรมอาหรับสมัยกลางผสมผสานกับอารยธรรมพื้นเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมของพื้นที่ ที่ถือกำเนิดและดำเนินมาจนถึงปัจจุบันในเขตเมืองเก่าที่รายล้อมด้วยกำแพงดิน หรือที่เรียกกันว่าเมดิน่า (Medina) ครั้งแรกที่ฉันนั่งรถไปถึงริมๆ กำแพงเมืองที่ว่า คนนำทางบอกให้ฉันลงจากรถแล้วเดินลากกระเป๋าไปสู่ที่พักที่ติดต่อจองเอาไว้ เนื่องจากในเขตเมืองที่ว่านี้ รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ ฉันพาตัวเองเดินลัดเลาะผ่านประตูกำแพงเล็กๆ เลี้ยงลดไปตามตรอกซอกซอยกว้างประมาณเมตรกว่าๆ ไปจนถึงหน้าที่พักที่เรียกกันว่าริยาด (Riad) แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนเกสต์เฮ้าส์เล็กๆที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง โดยการปรับสภาพที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมของคนที่นี่มาเป็นที่พักให้นักเดินทาง เมื่อเดินผ่านประตูเล็กๆที่ไม่น่าจะมีอะไรเข้าไป ฉันก็ต้องชะงักงันกับความสวยงามและน่ารักของสถานที่ การประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องสี ในลวดลายสวยงามที่ไม่คุ้นเคย มีใจกลางเป็นลานที่ตั้งวางโต๊ะอาหารและข้าวของเครื่องใช้แบบโมร็อค ลานกลางบ้านนี้ถูกล้อมรอบด้วยห้องเล็กๆกระทัดรัดที่มีหน้าต่างเปิดสู่ลานภายใน จากการเดินสำรวจการตกแต่งแต่ละห้อง จะเห็นว่าแต่ละห้องต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่ถูกตกแต่งให้เข้ากับขนาดดั้งเดิมของห้อง ตัวอาคารที่มีลานตรงกลางนั้น สูงขึ้นไปเพียงแค่สามชั้น ถ้าจะเปรียบเทียบ ฉันคงได้แต่บอกว่า มันเป็นที่พักแบบที่บ้านเราเรียกว่าฮิปรีสอร์ทนั่นเอง ริยาดในเมดิน่าในเมืองเฟสแห่งนี้ มีอยู่หลายสิบแห่ง ซึ่งต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่เหมือนใคร ยกเว้นสิ่งที่เหมือนกัน คือการนำบ้านพื้นเมืองเก่าแก่มาปรับให้เป็นที่พักน การก้าวเท้าเข้าไปที่นี่ นอกจากจะได้เห็นลักษณะบ้านเรือนดั้งเดิมของพื้นที่แล้ว ยังทำให้ฉันตระหนักได้อีกอย่างหนึ่งว่า ฉันไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเจ้าของสถานที่และพนักงานที่นี่ได้ ภาษาฝรั่งเศสแบบงูๆปลาๆ ที่ยังคงค้างจากการร่ำเรียนมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน จึงถูกขุดออกมาจากก้นบึ้งสมองอย่างเต็มที่ (กว่าจะได้น้ำร้อนสักกา) วันต่อมาที่ฉันได้มีโอกาสเดินเท้าเยี่ยมย่ำในเมดิน่าอย่างเต็มที่… Read More Maroc: From Fez to Volubilis

Maroc: Marrakesh

ภาพของเมืองสีแดงส้มของมาราเคชยามเย็นย่ำ เริ่มปรากฏให้เห็นในพื้นที่ราบเบื้องหน้า ในขณะที่รถตู้ของพวกเราวิ่งตัดผ่านดินแดนอันแห้งแล้งลงมาจากเทือกเขาแอตลาส หลังจากตระเวนเที่ยวอยู่หลายวันในเขตเทือกเขาและทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของโมร็อคโค ความอึกทึกคึกคักของเมืองเริ่มขึ้น พร้อมกับถนนที่แคบลงและความจอแจของจราจรในเมือง รถพาพวกเราวนไปวนมา ตามความรู้สึกประสาผู้มาใหม่ ก่อนจอดลงข้างกำแพงสีแดงส้ม ริมกำแพงเมดิน่า เขตเมืองเก่าของเมือง คนขับทำท่าบอกพวกเราว่า เขาส่งได้แค่นี้ เมื่อลงจากรถ มีเด็กหลายคนวิ่งเข้ามาพร้อมชี้ชวนอะไรบางอย่าง พร้อมๆกันกับกรรมกรเข็นรถเข็นเข้ามาทาบทาม จากจุดนี้ พวกเราต้องเดินลากกระเป๋าเอาเอง หรือไม่ก็ต้องจ้างชายกรรมกรเหล่านี้ช่วยแบกของและนำทางพวกเราเข้าไปในทางแคบๆในเมดิน่า เพื่อไปยังที่พักที่นำบ้านแบบพื้นเมืองมาแต่งใหม่เป็นที่พักให้นักท่องเที่ยว หรือที่เรียกกันว่า ริยาด (Riad) เนื่องจากมาราเคชเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศโมร็อคโค และถือเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของประเทศ ที่พักอย่างริยาด หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆคือเกสต์เฮ้าส์สุดฮิปจึงมีอยู่อย่างหลากหลาย ในเขตเส้นทางเขาวงกตของเมืองเก่า จนแม้แต่ไกด์พื้นเมืองของเราที่ไม่ใช่คนเมืองนี้ก็ไม่ทราบแน่ว่าริยาดที่พวกเราจองเอาไว้ตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่ จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องพึ่งคนนำทางและขนกระเป๋าพาพวกเราไปยังที่หมาย คนนำทางพาพวกเราเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่สี่ห้าครั้ง ก่อนจะพาเดินเข้าไปในทางแคบๆมืดๆ ไม่มีแสงไฟ และหยุดลงที่หน้าประตูไม้บานใหญ่แห่งหนึ่งมีป้ายชื่อริยาดเล็กๆติดอยู่ที่หัวมุม หลังจากลองกดกริ่งเรียกอยู่หลายครั้ง โทรศัพท์เรียกอยู่หลายหน จนพวกเราชักหวั่นๆว่ามาผิดที่หรือเปล่า ในที่สุด เจ้าของหรือผู้ดูแลก็เดินถือถุงพลาสติกกลับมาจากการซื้อของข้างนอก และมาเปิดประตูให้ (ด้วยความงุนงงของพวกเราทุกคน) อย่างไรก็ดี เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว พวกเราต่างก็ส่งเสียงกันอื้ออึงกับความฮิปของริยาดแห่งนี้ กำแพงสีพื้นสีขาว เรียบง่ายแต่ดูดี ลานกลางบ้าน มีโต๊ะกินข้าวข้างๆทางน้ำพุกลางพื้น ต้นไม้ประดับ มุมนั่งเล่น และบ่อแช่น้ำเล็กๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง ความเรียบง่ายของตัวอาคารที่มีลานโล่งปลอดหลังคาตรงกลาง แปรเปลี่ยนไปอย่างแปลกตา เมื่อเพดานโล่งถูกประดับประดาจากแสงไฟหลากสีที่ส่องผ่านโคมไฟโลหะฉลุลาย… Read More Maroc: Marrakesh

Maroc: The Sahara

ก่อนหน้าที่จะมาที่โมร็อคโค ประเทศขนาดไม่ใหญ่ไม่โตทางตะวันตกของแอฟริกาเหนือติดมหาสมุทรแอตแลนติคแห่งนี้ หลายต่อหลายคนบอกฉันว่า นอกจากตลาดพื้นเมืองและซากโบราณสถานต่างๆแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการขี่อูฐท่องทะเลทรายซาฮาร่า แม้ว่าจะเป็นเพียงการเยี่ยมเยือนเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของทะเลทรายที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ก็ตาม แต่ประสบการณ์บนหลังอูฐและเนินทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ก็เรียกได้ว่าเป็น “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่ยากที่จะลืมเลือนได้ ฉันมาถึงเมืองเออร์ฟูด (Erfoud) เอาตอนเย็นย่ำ หลังจากนั่งรถปุเลงๆ ผ่านเทือกเขาแอตลาสมาจากเมืองเฟส (Fez) อันลือชื่อ เป็นเวลากว่าแปดชั่วโมง ครอบคลุมระยะทาง 400 กว่ากิโลเมตร แม้ว่าเทือกเขาตามเส้นทางที่ผ่านมาจะมีทิวทัศน์ที่แปลกตาน่ารื่นรมย์มิใช่น้อย แต่บ้างส่วนก็ดูแห้งแล้งเหลือเกินในความรู้สึกของคนที่มาจากดินแดนเขตร้อนชื้นอันชุ่มฉ่ำของเมืองไทย ต้นอินทผลัม หนึ่งในพืชที่พบได้มากที่สุดในประเทศนี้ มีให้เห็นเป็นระยะๆ สลับกับทุ่งหญ้าแห้งๆและฝูงแพะฝูงแกะของชาวบ้าน เออร์ฟูด เหมือนเป็นเมืองโอเอซิสขนาดย่อมๆ ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น เมื่อรถวิ่งลัดเลาะลงจากเทือกเขา ผ่านเข้ามายังบริเวณที่เป็นพื้นที่ราบที่มีแนวต้นอินทผลัมขึ้นเป็นแนวขนาบถนนที่ผ่านเข้าเมือง รถเลี้ยวเข้าจอดข้างหน้าโรงแรมคาสบา ซาลูก้า ซึ่งดูภายนอกเหมือนเป็นป้อมที่ก่อสร้างจากดินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางพื้นที่อันแห้งแล้ง จริงๆแล้ว คำว่าคาสบา (Kasbah) เป็นชื่อของเมืองป้อมปราการสมัยก่อนของผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่แห้งแล้งแถบนี้ ภายในกำแพงดินของคาสบาโบราณจะมีบ้านเรือน โรงเรียน ที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและป้อมปราการที่ทำการของเจ้าผู้ครองคาสบา เปรียบเสมือนเป็นชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีแทบทุกอย่างพร้อมสรรพอยู่ในตัว แต่ในยุคที่การท่องเที่ยวเฟื่องฟูแบบนี้ คาสบาถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกโรงแรมขนาดใหญ่ที่สร้างจากดินและฟางตามลักษณะการก่อสร้างคาสบาดั้งเดิม โดยด้านในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เมื่อฉันเดินผ่านประตูดินฝ่าความร้อนเข้าไปด้านใน ก็ต้องตะลึงกับการตกแต่งของโรงแรมที่มีแผ่นหินอ่อนมีซากฟอสซิลสวยงามขนาดใหญ่ตกแต่งอยู่เต็มล็อบบี้ เมื่อเดินลึกเข้าไปก็พบกับสระว่ายน้ำ และการตกแต่งที่นำเอาของพื้นเมืองต่างๆมาประดับประดาเต็มบริเวณลานกลางโรงแรม ห้องพักแทรกตัวอยู่ตามตึกดินสูง 2-3 ชั้น… Read More Maroc: The Sahara

Rajasthan: Rich Heritage and Colourful Culture

เมื่อพูดถึงอินเดียหลายๆคนอาจเข็ดขยาดจากการได้ยินได้ฟังมาถึงความสกปรก ไร้ระเบียบ แออัด ยัดเยียด มีแต่คนคิดจะหลอกนักท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งคงไม่น่าแปลกอะไรกับประเทศที่มีประชากรมากล้นเป็นอันดับสองของโลก และร่ำๆจะแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้ในไม่ช้าไม่นาน แต่ถึงกระนั้นอินเดียก็มีอะไรหลายๆอย่างเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้ชวนหลงใหลสำหรับหลายๆคนที่ได้ไปเยือนแดนภารตะแห่งนี้มาแล้ว ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบธรรมชาติ ป่าเขา หิมะ ทะเลทราย หรือชื่นชมเมืองเก่าอุดมไปด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย เนื่องเพราะอินเดียมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีภูมิประเทศที่หลากหลาย และที่สำคัญเป็นหนึ่งในดินแดนที่ก่อเกิดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ส่งอิทธิพลต่อนานาประเทศมาเป็นเวลาช้านาน ยิ่งได้ออกนอกเมืองใหญ่ๆอย่างเดลฮี ไปเที่ยวในต่างถิ่นห่างไกลบ้าง คุณจะพบว่าชาวอินเดียมีน้ำใจให้อย่างเหลือเฟือและอาจจะลบภาพเดิมๆที่เคยอยู่ในความคิดจากการที่ได้ยินได้ฟังมาก็เป็นได้ ฉันพาตัวเองมายืนอยู่ในรัฐทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีชื่อว่า Rajasthan รัฐราชสถาน-ดินแดนแห่งราชา แค่ชื่อของรัฐก็บ่งบอกได้อย่างเพียงพอแล้วว่า ดินแดนนี้จะรุ่มรวยอารยธรรมเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้อมปราการและราชวังของมหาราชาต่างๆที่ต่างคนต่างพากันมาสร้างสรรปั้นแต่งไว้ในดินแดนแถบนี้เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ บริเวณแถบนี้แต่เดิมเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์นักสู้แห่งราชปุต (Rajput) มาช้านาน โดยชาวพื้นเมืองเรียกดินแดนแถบนี้ว่า Mewar (ดินแดนแห่งความตาย) แม้ว่าจะถูกชนเผ่ามุสลิมราชวงศ์โมกุลเข้ามามีบทบาทสำคัญบ้าง แต่กระแสราชวงศ์ราชปุตก็ยังคงฝั่งรากเหนียวแน่นอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ฉันขอละที่จะไม่กล่าวถึงเมือง Jaipur (ชัยปุระ) อาจออกเสียงว่าไจปูร์ อันเป็นเมืองหลวงของ ราชสถานและเป็นหนึ่งในสามของเส้นทางเมืองท่องเที่ยวสามเหลี่ยมทองคำของอินเดีย (เดลฮี-ชัยปุระ-อัครา)ในครั้งนี้ เนื่องจากต้องการพาคุณไปสัมผัสเมืองอันแสนโรแมนติคจนติดอันดับโลกอย่าง Udaipur (อุทัยปุระหรืออุไดปูร์) และเมืองสีฟ้าของ Jodhpur (โยธปุระหรือจ๊อดปูร์) เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายมากๆของเมืองหลวงทั้งหลาย มาสู่เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไปของทั้งสองเมืองนี้ ทะเลสาป Pichola แห่งอุทัยปุระกลางใจเมืองที่เกิดจากการสร้างเขื่อนในสมัยก่อน และปราสาททั้งริมน้ำและกลางน้ำของที่นี่ เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองโรแมนติคที่สุดของรัฐราชสถาน หากอยู่ในมุมมองและช่วงเวลาที่เหมาะสม… Read More Rajasthan: Rich Heritage and Colourful Culture

The Volcanic Islands of Santoríni

หลังจากตระเวนเที่ยวประเทศกรีซมาสองอาทิตย์กว่าๆ ฉันให้รางวัลกับตัวเองสำหรับสองสามวันสุดท้ายในการเดินทาง ด้วยน้ำทะเลสีสวยๆ ท้องฟ้าใสๆ พร้อมเมืองสีขาวน่ารักๆที่หมู่เกาะภูเขาไฟเล็กๆ ในกลุ่มหมู่เกาะขนาดใหญ่ไซคลาเดส (Cyclades) นอกชายฝั่งกรีซ ในทะเลเอเจียน อันเป็นสถานตากอากาศอันลือชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวยุโรป “ซานโตรีนี่ (Santoríni)” ยังไม่ทันที่เรือไฮโดรฟอยล์ลำที่ฉันโดยสารมาจากท่าเรือพิเรอัส (Piraeus) ทางตอนใต้ของกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ จะเข้าเทียบท่า ความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจของซานโตรีนี่ก็เผยโฉมให้เห็น เมื่อเรือเริ่มเข้าใกล้วงล้อมเสี้ยวพระจันทร์ของเกาะธีร่า (Thíra) เกาะขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะซานโตรีนี่ และเป็นเกาะหลักที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนสีขาวทรงสี่เหลี่ยมปลูกเรียงเป็นแถวอยู่บนยอดหน้าผาสีน้ำตาลแดง ที่ตัดดิ่งลงสู่ห้วงน้ำสีฟ้าสด เมื่อดูผ่านๆแล้วเกาะแห่งนี้จึงเหมือนเป็นภูเขาที่มียอดปกคลุมด้วยหิมะ เรือค่อยๆเข้าเทียบท่า ตรงท่าเรือที่เป็นเพียงที่ราบชายฝั่งเล็กๆ ริมหน้าผาสูงชัน ผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้นลงเรือที่เข้าเทียบท่ากันวุ่นวาย อาจเพราะช่วงเวลาที่ฉันมาเยือนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนอันเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของหมู่เกาะบริเวณนี้ก็เป็นได้ ถนนจากท่าเรือตัดซิกแซกขึ้นหน้าผาไปสู่ที่ราบด้านบน ฉันบอกแท็กซี่ให้ไปส่งที่เมืองเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะที่เมืองคามารี (Kamári) ไม่ไกลจากชายหาดสีดำ ที่เกิดจากเศษทรายและหินสีดำจากภูเขาไฟระเบิดนั่นเอง คามารี เป็นหนึ่งในเมืองริมหาดไม่กี่แห่งทางฝั่งทะวันออกและทางใต้ของเกาะ เนื่องจากทางฝั่งตะวันตกและทางเหนือเป็นหน้าผาสูงชัน การเดินเล่นริมหาดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวแบบนี้ ให้บรรยากาศไม่ต่างจากเมืองตากอากาศริมทะเลทั้งหลายแหล่บนโลก ร้านค้า ภัตตาคารและรีสอร์ทริมทะเล (ที่มีสระว่ายน้ำเล็กๆด้วยทุกแห่ง) เรียงรายตั้งแต่ต้นหาดยันปลายหาด ถนนเล็กๆขึ้นกลางสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ออกจากชายหาด เต็มไปด้วยผู้คนในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ปรารถนาให้แสงแดดอันร้อนแรงอาบผิวพรรณให้สุกงอม (แน่นอนว่าไม่ใช่ฉันแน่) อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหาได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลชั้นดี ไวน์รสเลิศ รถเช่า ร้านดำน้ำ… Read More The Volcanic Islands of Santoríni

Kyoto, my Favorite Town

เมืองเกียวโต เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงก้องโลก นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกรวมทั้งคนญี่ปุ่นเองต่างก็แวะเวียนมาที่เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นแห่งนี้ เมืองมรดกโลก เมืองที่คุณจะมีโอกาสได้สัมผัสวัฒนธรรมและประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่แตกต่างจากความเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีอันทันสมัยที่คุณได้สัมผัสในกรุงโตเกียว ชื่อของวัดเงิน (กินคะคุจิ) วัดทอง (คินคะคุจิ) หรือวัดคิโยะมิซึเตระ หรือคนไทยเรียกวัดน้ำใสคงเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันดี เพราะมักจะปรากฏอยู่ในโปรแกรมทัวร์ประเทศญี่ปุ่นเสมอ หากมีรายการที่ต้องผ่านมาที่เมืองเกียวโตแห่งนี้ แต่สถานที่เหล่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนน้อยของเกียวโตเท่านั้น เอาเฉพาะในแง่ของสิ่งปลูกสร้าง เกียวโตมีวัด (ศาสนาพุทธ) และศาลเจ้า (ศาสนาชินโต) มากกว่า 2,000 แห่ง สวนญี่ปุ่นสวยๆอีกนับร้อย ย่านวัฒนธรรมเก่าแก่อย่าง “กิออน” (Gion) ที่หากคุณโชคดีอาจมีโอกาสได้ชายตามองสาวไมโกะ สาวน้อยหน้าขาวใส่ชุดกิโมโน ลากเกี๊ยะ เดินผ่านมาให้เห็น ก่อนที่พวกเธอจะขึ้นแท่นเป็นเกอิชาผู้มากความสามารถในเรื่องศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และเกียวโตยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังและพระตำหนักของจักรพรรดิถึง 3 แห่ง ที่หลายๆคนอาจเคยได้ยิน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ไปสัมผัส เกียวโตเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยเฮอัน คือประมาณ ค.ศ. 794 จนกระทั่งถึงประมาณ ค.ศ.1868 ซึ่งญี่ปุ่นได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เอโดะ หรือโตเกียวปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงพันกว่าปีที่เกียวโตเป็นเมืองหลวงนั้น ในบางช่วงเวลาก็เป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น เพราะศูนย์กลางการปกครองที่แท้จริงจะย้ายไปตามโชกุนที่ขึ้นมามีอำนาจในช่วงสมัยนั้นๆ แต่ที่ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงอยู่เพราะจักรพรรดิยังคงพำนักอยู่ที่เกียวโตตลอดหนึ่งพันกว่าปี แม้ว่าจะไม่มีอำนาจในการปกครองประเทศก็ตาม อย่างไรก็ดีศิลปะวิทยาการต่างๆที่เป็นแบบญี่ปุ่น ก็บ่มเพาะและเจริญรุ่งเรืองขึ้น ในพื้นราบที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาแห่งนี้ การเยี่ยมชมพระราชวังในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเช่นนี้… Read More Kyoto, my Favorite Town

Dharamsala ลาซาน้อยในดินแดนต่างวัฒนธรรมของอินเดีย

“เริ่มจากการนั่งรถอันยาวนานทรหด ตั้งแต่จากร่วมๆเที่ยงคืน หลังจากที่ออกจากสนามบินที่นิวเดลี โดยการขึ้นรถรับจ้างเถื่อน ขณะฝนตก รถไม่มีแอร์ แถมยังเหม็นกลิ่นน้ำมันอีกต่างหาก ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่รถมาเสีย แบตเตอรี่หมด เข็นกันอยู่หลายรอบ จนในที่สุดพวกเราจึงตัดสินใจเปลี่ยนรถ มาเป็นอีกยี่ห้อหนึ่งชื่อ Ambassador ที่ผลิตในอินเดียเอง บนถนนรถแข่งกันขับเป็นว่าเล่น บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว… นั่งรถกินเวลาทั้งหมด 12-14 ชั่วโมงได้ เพราะมาถึงดารัมศาลา (Dharamsala) เอาเมื่อตอนบ่ายสองบ่ายสามของอีกวันหนึ่ง…ยาวนานมาก ระหว่างทางหลับๆตื่นๆมาตลอด ผ่านชนบทที่ไม่คิดว่าจะได้มาพบเห็นอีก ตลอดระยะทางเกือบๆ 500 กิโลเมตร รถบรรทุกมีให้เห็นตลอดทาง ด้านหลังทุกคันเขียนว่า Horn Please หรือไม่ก็ Blow Horn มิน่าถึงได้ใช้แตรกันแบบไม่บันยะบันยังแบบนั้น ผ่านกลางคืนมาได้ ก็เริ่มมองเห็นสองข้างทางเป็นทุ่งนา ทุ่งทานตะวัน ทุ่งดอกมัสตาร์ด แหล่งชุมชน วัว ควาย ม้า ล่อ แพะ มีให้เห็นตลอดทาง จะว่าไปก็สวยงามดีอยู่หรอก แต่ใจก็ต้องมานั่งตุ้มๆต่อมๆกับการเริ่มหลับในเป็นพักๆของโชเฟอร์ เฮ้อ…ถนนหนทางแม้จะไม่ใช่ทางอย่างดี แต่ก็ดูร่มรื่น แปลกหูแปลกตา น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง…จนเส้นทางเริ่มไต่เข้าเข้าสู่ดารัมศาลานี่แหละ ที่เริ่มมองเห็นเทือกเขาส่วนหนึ่งของหิมาลัยที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และเข้าสู่เมืองเล็กๆบนขุนเขา ผ่านลำธารน้ำสีเขียวเพราะเป็นน้ำที่ละลายมาจากหิมะ… Read More Dharamsala ลาซาน้อยในดินแดนต่างวัฒนธรรมของอินเดีย

KENT

เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่มีอยู่กับการดูแผนที่บริเวณรอบๆมหานครลอนดอนอยู่สองสามรอบ ฉันตัดสินใจมุ่งหน้าลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง ครั้งนี้ฉันตั้งใจไปเยี่ยมชมพื้นที่ตกสำรวจของตัวเองบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงลอนดอน ในเขตปริมณฑลที่มีชื่อว่าเค้นท์ (Kent) ที่วางตัวอยู่ระหว่างเมืองลอนดอนและช่องแคบอังกฤษที่จะข้ามไปยังประเทศฝรั่งเศสได้ พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นเขตยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาแต่โบราณ เนื่องจากเป็นบริเวณพื้นที่ที่ใกล้กับตัวแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรปมากที่สุดของเกาะอังกฤษ ผู้คนสมัยโบราณจะข้ามน้ำข้ามทะเลมารบกัน แย่งชิงอำนาจกันหรือจะอพยพย้ายถิ่นกันก็ผ่านกันมาทางนี้ ซึ่งในปัจจุบันทางรถไฟลอดใต้ทะเลไปยังตัวทวีปก็สร้างผ่านมาทางเค้นท์นี่แหละ หลังจากขับรถพ้นจากลอนดอนได้ไม่นาน ฉันแวะเยี่ยมชมสถานที่แห่งหนึ่งก่อนทันที เนื่องจากสะดุดคำแนะนำในหนังสือนำเที่ยวว่า “เป็นหนึ่งในปราสาทที่โด่งดังที่สุดและมีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” เท่านั้นยังไม่พอยังมีคำกล่าวของ Lord Conway อีกด้วยว่าเป็น “ปราสาทที่น่ารักที่สุดในโลก” อย่างนี้แล้ว จะไม่ให้ฉันแวะไปยลโฉมได้อย่างไร ปราสาทลีดส์ (Leeds Castle) อยู่ไม่ไกลจนเกินไปนักหากขับรถมาตามทางหลวงสาย M20 จากลอนดอน ไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงดี ก็มีแยก (ดูตามป้ายทางหลวง) ไปถึงตัวปราสาทได้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับเมือง Maidstone เมื่อผ่านประตูเข้าไป ยังต้องวิ่งรถไปตามถนนภายในอาณาบริเวณของปราสาทอีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงที่จอดรถ จากนั้นจะนั่งรถรับส่งของปราสาทที่มีบริการให้ไปที่ตัวปราสาท หรือจะเดินกับเดินก็แล้วแต่ความพอใจ เนื่องจากพื้นที่ของปราสาทค่อนข้างกว้าง ฉันเลือกที่จะพึ่งขาของตัวเอง เดินผ่านชมสวนอันกว้างใหญ่ของปราสาทก่อน นกเป็ดน้ำหลายหลายชนิดที่มาที่นี่เองโดยธรรมชาติและตัวแปลกๆสีสันสวยงามที่เขาเลี้ยงไว้ในบึงขนาดย่อมๆทำให้ฉันต้องหยุดแวะถ่ายรูปจนเดินไปไม่ถึงไหน รวมไปถึงเจ้าหงส์สีดำ อันเป็นสัญญลักษณ์ของปราสาทแห่งนี้ด้วย ว่ากันว่าเจ้าของคนสุดท้ายคือ Lady Baillie Olive นั้น เธอชื่นชอบนกสวยๆแปลกๆนักหนา และเธอก็เป็นคนแรกที่นำเข้าเจ้าหงส์ดำจากออสเตรเลียมาที่อังกฤษนี่ด้วย หลังจากที่เดินเลาะคูน้ำผ่านสวนและสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงปราสาทที่เด่นเป็นสง่ากึ่งๆคล้ายป้อมปราการตั้งอยู่บนเกาะสองเกาะเล็กๆกลางทะเลสาป เมื่อได้มาอ่านรายละเอียดของปราสาท ฉันจึงรู้ว่าไม่ได้เข้าใจผิด… Read More KENT

Indian Hot Cities

อากาศเริ่มเย็นๆแบบนี้ เอาเรื่องร้อนๆมาฝากดีกว่า (เป็นการค่อยๆย้ายข้อความสั้นๆที่เขียนไว้ มาจาก Hi5 เพราะไม่ค่อยได้เข้าไปในนั้นแล้วอ่ะ)… จับพลัดจับผลู ได้ไปเที่ยวเมืองปราสาท ราชวัง และป้อมปราการของอินเดียมาหลายเมืองในช่วงที่ผ่านมา…ไม่ได้ตั้งใจไปเอง ตั้งแต่ต้น เพราะรู้ว่าอากาศยามนี้มันร้อนเหลือ…แต่ในเมื่อโอกาสมาถึง ชีพจรที่เท้ามันก็เร่งจังหวะให้ออกเดินทางอีกครั้ง ไปเดินไปชม ไปสัมผัสมาก็หลายที่อยู่ แต่ก่อนที่จะเดินถึงป้อมปราการหรือราชวังต่างๆนั้น แน่นอนว่าต้องเดินผ่านย่านสามัญชนก่อน…ตลาด อากาศก็ร้อนเหลือ แดดก็เผาผิวจนต้องสวมแขนยาว ถ้าจะเข้าท่ากว่า…เอาผ้าเบาบางเข้าไว้ ไม่ร้อนผิว ไม่แสบไหม้ หลบเข้าร่มหน่อยก็เย็นสบาย นึกถึงเครื่องนุ่มห่มของชาวอินเดียก็ดูคิดว่าช่างเข้าท่าดี มีผ้าให้คลุมผม คลุมหน้า คลุมตัวคลายร้อนได้ คลายหนาวก็ดี… อากาศร้อนแต่ใจคนที่นี่ไม่รุ่มร้อน แม้รถราจะควั่กไคว่ บีบแตร เบียดเฉียดฉิวกัน ทั้งรถทั้งจักรยานยนต์ ทั้งรถลาก ทั้งจักรยาน ทั้งวัว ทั้งคน ทั้งแพะ ทั้งลา และอื่นๆอีกมากมายที่ประกอบเป็นสีสันอันมีชีวิตชีวาของเมืองในอินเดีย แต่กลับไม่ค่อยเจอคนอารมณ์ร้อนเท่าไรนัก ฉันพบสาวชาวบ้านคนนี้ นั่งเล่นอยู่บนพื้นกับเด็กๆและสาวๆคนอื่นข้างทาง…อากาศร้อน ใจไม่ร้อน เธอยิ้มแย้มฟังการสนทนา พร้อมกับจิบชานม (ไช) ร้อนๆแก้วใหญ่… ฉันเหลือบหันไปกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง ก่อนเดินฝ่าความร้อนไปชมพระราชวังต่อด้วยใจที่ยิ้ม…เย็น